วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 8

"ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ"

  • ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย 
  • เพราะตั้งใจว่าอีกสองวันข้างหน้าก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่ามีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก 

  • พอรุ่งสางแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่าเห็นหมาตัวโตตัวหนึ่ง วิ่งตามทางอันเป็นที่ที่นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง 
  • มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทางเหมือนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน 
  • เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้วและรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเราอยู่มาได้เพราะหมา แต่ตอนเล็กๆ ยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง 
  • ตั้งแต่วันแรกเกิดคือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือกกาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น
  • แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที 
  • แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆวัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรักและเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง 
  • แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพอยู่บนกระแสน้ำสองสายมารวมกัน แม่น้ำปิงกับแม่น้ำน่าน ที่ปากน้ำโพนี่เอง 
  • ขณะที่น้ำปัสสาวะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจนลงไปคาบขาเจ้าขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว 
  • ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจึงมีแผลเป็นอยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผลจากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง 
  • มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่ง ลูกต้องรักมัน
  • อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหาแล้วเลียแข้งขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเอง 
  • หมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้ายซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวายกับเจ้าของมัน 
  • ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆ ใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย
  • เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณบูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่ง ที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิตจิตวิญญาณของนายพรานป่าที่ใช้ให้มา 
  • โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพาช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทางที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด 
  • และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆ ในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจ นำพาออกเดินทางข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น 
  • ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่าสมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมาเพื่อมาติดต่อค้าขายหรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกันสมัยโบราณ
  • เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัยในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้ 
  • บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อยเมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวเรา 
  • บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้วเกลือกกลั้วไสไปมาด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรักด้วยสายตา 
  • มันเห็นว่าเราเปล่าเปลี่ยวและว้าเหว่ มันเดินเร่ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิตด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง) 
  • เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกลจากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆเช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่าที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้ามเขาลงห้วยลงเหว ลูกแล้วลูกอีก
  • คน ชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆ กัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ 
  • จะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดีเพราะได้กตัญญูต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน 
  • ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น 
  • ส่วนพวกนับถือคริสต์ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์นั้นคือพระเป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว พระคริสต์ท่านเป็นพระนักเสียสละ 
  • อันพวกนับถือศาสนาอิสลามก็อนุโมทนาในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้ และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ยไม่ได้ เล่นแชร์เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำ ไม่ดื่มไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้นก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้นประเสริฐแท้ ที่สอนให้มนุษย์โลกอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน 
  • ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณีและลัทธิของชุมชนเผ่าต่างๆนั้นก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคนพวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าว ใส่กระบอกใส่ไหแล้วบอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคน ไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่าพวกผี พวกวิญญาณ เทวดา เป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ
  • บางแห่งก็พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่บางแห่งก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไรเขาจึงพากันปลุกเสกเจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครูให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้องคือสิบสองสตางค์ 
  • บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ) ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) 
  • เราไปแบบเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงามก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว หัวเราะและยิ้มเอาไว้จะได้ปลอดภัย 
  • การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรีอันสลับซับซ้อนลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เองมีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่) แต่ภาษาอังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein)
  • เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ 
  • จากมะละแหม่งตามสายน้ำสาละวินร่วมกับแม่น้ำสโตงอีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวินไปเมืองท่าทอง (Thaton) 
  • แต่ต้องเปลี่ยนแผนเพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซียยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง 
  • อันชื่อเมืองต่างๆในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่าแต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้กับภาษาของมัน 
  • แต่บางทีไม่ถนัดทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออกเช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆ แล้วน่าขัน 
  • ดังนั้นท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด 
  • เมื่อไปถึงเมืองพะโคคือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบเพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยากจากแดนไกลคือทวีปยุโรปมาด้วยกัน
  • คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ 
  • การเข้าไปอยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่าให้เหมือนเดิม 
  • ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ก็คือคุ้ม หรือหมู่บ้านของพวกเชลย ที่เป็นคนไทย ซึ่งถูกกวาดต้อนไปและไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆไร่ 
  • รอบกำแพงอันเก่าๆ เราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบังเป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้นเพราะวิเวกดี 
  • มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้วที่ยุโรป 
  • ซึ่งเป็นพระคงแก่เรียนและชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น ในสมัยนั้นมหาอำนาจ เริ่มยกให้สหภาพพม่าเป็นอิสระแล้ว 
  • แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่าคือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และข้าหลวงใหญ่ก็รักพวกเราดี
  • ยัง มีชาวต่างประเทศชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบายที่เราสี่สหาย ได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อนตอนที่อยู่ต่าง แดน 
  • พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่อย่างอิสระแบบพระต่างแดน 
  • อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้นก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดูก็เป็นสถานที่ของเจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก 
  • เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกันก็เป็นที่ของนันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลายไปด้วยกาลเวลา และภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 
  • พวกเราจึงร่วมกันปลูกต้นมะพร้าวรอบๆบริเวณได้สี่ร้อยเก้าสิบต้นเป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจเมื่อเรากลับไปคราวหลังเมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมด เพื่อสร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว 

  • เมื่อเราได้สถานที่อยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เราเคยรักกัน และได้ทำบัญชีการเงินไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาท 
  • เป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูนเพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์แสวงธรรมตามรอยกรรมก็เป็นอันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น