วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 2

"สัมผัสทางวิญญาณกับพระสุพรรณกัลยา"
ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (2)

  • ในทันใดนั้นเองสายตาทางจิตวิญญาณของเราก็มองเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่านยิ้มให้ ยิ้มแล้วยิ้มอีก 
  • แล้วเอ่ยปากว่า ท่านขาท่านชื่อโสรโย ที่เป็นพระสงฆ์หลงมาจากเมืองสยามไทยใช่ไหม ถ้าใช่ท่านไม่ต้องร้อนใจ ฉันก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับท่าน 
  • ฉันจะหาทางช่วยท่านให้พ้นภัย เพราะท่านเคยอยู่กับฉันมาแต่ก่อน เราเคยมีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว ท่านเคยช่วยเหลือดูแลฉันมาตลอด
  • เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในคณะเรา เราได้พึ่งพาอาศัยท่าน เวลาจะถูกเขารังแกท่านต้องมาขัดขวางเอาไว้ ท่านหายไปไหนมา รีบมากับฉันเดี๋ยวนี้
  • ทันใดนั้นเอง ท่านก็นำพาข้าพเจ้าเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่งซึ่งมีสภาวะที่สูงขึ้นไปกว่า ละเอียดกว่า ซึ่งเป็นมิติสถานเก่า ที่ซึ่งพวกเราจำนวนมากถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก 
  • แล้วสุภาพสตรีท่านนั้นก็บอกว่า ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา จำได้ไหม พวกเรามาด้วยกันจำนวนมาก ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย 
  • เพราะท่านเก่งมีฝีมือเป็นนายช่าง เก่งทางสร้างอาคารบ้านเรือน ให้พวกเราอยู่ ในจำนวนหมู่ของเชลยและสร้างวัดเวียงวังให้พม่าด้วย 
  • แล้วท่านก็ชี้มือให้เราดูแล้วว่า โน่นแน่ะคือหมู่บ้านที่ท่านสร้าง ก็มองเห็นหมู่บ้านที่มีกาแลไว้บนหน้าจั่วเป็นทิวแถว ทรงไทย เรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบ 
  • ท่านบอกว่ายังมีอีกหลายที่ยังสร้างไม่เสร็จ โน้นน่ะวัดที่ท่านสร้างให้เขา ก็ยังไม่เสร็จอีก ท่านจึงต้องมาทำต่อในคราวนี้
  • เมื่อวานนี้ท่านหายไปไหน มีใครเขาบอกว่า ท่านกลับไปช่วยพระยาตาก กู้เมืองกรุงศรีอยุธยาใช่ไหม เมื่อกลับมาวันนี้ แต่งตัวเป็นนักบวชเสียแล้ว 
  • คงจะหาวิธีหนีเอาตัวรอดละซี หนีไปทำไม ไม่คิดถึงพวกฉันหรือ เราทุกข์ยาก พลัดพรากจากบ้านเมืองมาด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน มากินข้าวกันเถอะ 
  • หลังจากนั้นสุภาพสตรีท่านนั้นก็จัดอาหารหวานคาว และท่านก็นั่งกินด้วย เราได้เห็นผู้คนที่รู้จักมักคุ้นกันจำนวนมากเข้ามาหา มาถามข่าวและพูดจาล้อเลียน กระเซ้าเย้าหยอกกันอย่างสนุกสนาน 
  • ดูแล้วแต่ละคนเขาแสดงความเคารพนับถือ ในท่านสุภาพสตรีคนที่นั่งกินข้าวอยู่กับเรามาก ท่านออกปากพูดว่า ฉันได้ส่งข่าวไปทางเมืองสยามไทยแล้ว ให้เขามาช่วยท่าน แล้วอีกไม่นานท่านก็จะพ้นภัย
  • ขณะนั้นความรู้สึกตัวจากความหลับฝันอันเป็นสมาธิน้อยๆ ที่เป็นตัวแฝงของเราก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัว (ตื่นจากหลับฝัน) ฝันสนุกเสียด้วย เพราะเห็นคนสวยๆ มาปลอบใจ แล้วจะไม่ให้สุขได้อย่างไรว๊า 
  • แล้วก็ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม กลับไปมานานพอสมควร เพื่อยืดเส้นยืดสาย หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกพูดกันว่า 
  • พระนายช่างองค์นี้ ท่านเข้านั่งทำสมาธิได้หลายวันแล้ว นั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ยอมลุก ไม่กิน ไม่ถ่าย นึกว่าแข็งตายไปแล้ว โอ้ยอย่าพึ่งตายเลย ขี้เกียจทำศพ และจะเกิดเรื่องยุ่งด้วยเพราะเป็นพระต่างชาติ พลาดท่ารัฐบาลก็ยุ่งด้วยอีก 
  • ดูๆ แล้วมิใช่คนที่จะตายแล้วสูญ เพราะเขามาเป็นนักวิชาการ เพราะท่านอภิธชะมหาอัตฐคุรุ ประมุขสงฆ์ของพม่าก็นับถือเขาด้วย ไม่แน่จริงเขาคงไม่นิมนต์เข้ามาเมืองเรา
  • จาก นั้นเขาก็จัดหาอาหารมาให้ฉัน เราก็โบกมือปฏิเสธไม่รับไม่ฉัน จึงมานึกคิดหวนจิตกลับไปในความฝันที่ผ่านมา เราไปเห็นสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่ง ชื่อสุพรรณกัลยา 
  • ที่บอกว่าเราเคยอยู่กับท่าน เราเคยช่วยท่าน เราเคยเป็นเชลย เราเคยเป็นนายช่าง สร้างบ้านให้เชลยอยู่ เราหายหน้าไปช่วยพระเจ้าตากกู้เมืองเมื่อวานนี้ 
  • และเราได้เห็นได้คุยกับสุภาพสตรีชื่อสุพรรณกัลยา แสดงความห่วงใยในเรามากๆ อยากทราบว่าสุภาพสตรีที่ชื่อสุพรรณกัลยา คือใครกันแน่ 
  • และท่านบอกว่า เราหายไปเมื่อวันวาน ไปช่วยงานพระยาตากกู้เมือง อะไรกันแน่อีกเช่นกัน อันกาลเวลาของโลกมนุษย์ห่างกับโลกวิญญาณนั้นถึงสองร้อยกับสองปี
  • คือกรุงศรีแตก แตกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 แล้วมาเสียอีก ครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2310 อันกาลเวลามันห่างกันเหลือเกินคือห่างกันเท่ากับ หนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งวัน 
  • แต่กาลเวลาของโลกวิญญาณนั้นมันห่างกันแค่สองวันเท่านั้นเองคือเมื่อวานนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสนใจมากอยากจะศึกษาทางโลกวิญญาณให้มันชัดเจนมากขึ้นไปอีก
  • คือวันนั้นเองเป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทงพอดี 
  • มีชาววัด ชาวบ้านละแวกนั้น เขามาจุดธูป จุดเทียนบูชาพระไว้ริมสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างไกลจากที่เราอยู่ เรายึดเอาแสงสีของไฟที่ระยิบระยับกับผิวน้ำให้สะท้อนเข้ากับลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มาเป็นอารมณ์ของจิต ติดอยู่ให้เป็นเตโชและวาโยกสิญ เป็นเครื่องจูงจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์เดียว เหนี่ยวเอาเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวันก่อนให้เกิดขึ้นในมโนทวาร
  • ในกาลนั้นเอง ภาพลักษณ์ของพระนางสุพรรณกัลยา ก็มาปรากฏขึ้นในมโนทวารอีกอย่างชัดเจน ท่านเป็นสุภาพสตรีที่เลอโฉม แต่งตัวด้วยชุดไหมสีทอง แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า 
  • แต่งตัวแบบสาวพม่าในยุคนั้น ใส่ผ้านุ่งสีทอง รัดเข็มขัด มีลูกปัดที่คอสองชั้น สวมเสื้อแขนยาวคอ กว้างได้สัดส่วน ประทับยืน มือขวาค้ำสะเอว มือซ้ายหย่อนลง 
  • แล้วท่านกล่าวว่า พระคุณเจ้าจะพ้นภัยแล้ว แต่ท่านก็ต้องช่วยฉันเช่นกัน จะให้ท่านช่วยเรื่องอะไรเดี๋ยวจะบอกให้ 
  • เพราะฉันเองก็ถูกเขาเล่นงาน ถูกพันธนาการด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโต ของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย 
  • ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ดังที่ท่านทราบมาก่อนแล้ว ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย 
  • เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน แต่ท่านเก่ง ทำอะไรเป็นทุกอย่าง ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู 
  • ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลยตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย 
  • หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน 
  • แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา
  • ขณะนี้ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขาของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆ ว่า... ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ... เป่าลงไปแรงๆ 
  • แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัติคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) 
  • อันชีวิตทุกชีวิตก็คือความฝันเช่นกันและจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้วก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม
    • ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด 
    • ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี
    • จะประสพพบโชคและโศกโศกี 
    • ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา
    • จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์ 
    • จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า
    • มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา 
    • เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง
  • เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที 
  • ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ 
  • และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวาร ก็ยังก้องกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้างของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน 
  • แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ 
  • ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถาของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า...ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ... คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆ วันแล จำไว้เน้อ
  • จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ 
  • เขาพูดกันว่าเราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา 
  • เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี)
  • พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆบอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว 
  • ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทยคือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว 
  • เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ
  • เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible 
  • แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่ามันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้าและเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง 
  • ทั้งด้านนามธรรมและด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ และปฏิเสธอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูเหตุผล(คือคนโง่) 
  • เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ
  • อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่าท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ 
  • เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้วข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิดคือไม่ชอบเจ้า 
  • เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใดจะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียดความชังในระบบเจ้าของพวกลิเกขึ้นมา
  • เมื่อ พวกมันเลิกเล่นเลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าวกับหัวปลาทูกรอบๆ กับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายาโลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจาน่าทุเรศแท้ๆ 
  • แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิดของเราตลอดเวลา 
  • ก็เพราะท่านได้นำพาให้เราได้เข้าถึงได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆ มนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว 
  • ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้วเข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทาย รูปอันเลอโฉมของท่าน
  • และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆ ที่เป็นอดีตกาลซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวต่อไป 
  • อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขาก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไรสิ่งนั้นก็มาถึง 
  • อันสถานบ้านเรือนที่เราดูเราเห็นด้วยตาว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไปดูภาวะการณ์ ที่ท่านและเราถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น 
  • ก็เห็นว่าเราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรงเป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง
  • แม้แต่พระอนุชาของท่านคือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็กจนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา 
  • และพระอนุชาทั้งสองท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปะศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่าน อันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด 
  • เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนายเป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้านสร้างเรือน 
  • เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัสด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นานเพราะภาวะการณ์ของจิตมันจะถอยออกมาอยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป
  • จาก นั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆ เบญจเพศ 
  • ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอม และตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย 
  • ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทย ถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาตจะอายุสั้น 
  • เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหา จึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัว เขาและน้องชายทั้งสองของฉัน และตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย 
  • แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดน แล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนอง ก็เกรงใจท่านมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู
  • มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไม เพราะปกติข้าศึกจะไม่จับเอาผู้หญิง ที่ไม่พ้นนิติภาวะไปเป็นเชลย 
  • จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย 
  • ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ 
  • ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆ ท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา 
  • และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ก่อนออกเดินทางกลับคือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชาก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย 
  • และของเหล่านั้นข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น