"ก่อนกลับเมืองไทยยังมีจิตอาลัยเมืองพม่า"
ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (7)
- อัน ประเทศเมียนม่าที่ข้าได้คาดเอาไว้ว่าเราจะไปทำไมเพราะความเจริญทั้งทาง เศรษฐกิจ สังคม มันต่ำต้อยด้อยพัฒนาที่สุด
- และมนุษย์เมืองนี้ สมัยโบราณมันเป็นพาลเกเรเข้าไปเข่นฆ่าทารุณคนไทยให้ล้มตายไปเป็นจำนวนมากนับ ไม่ถ้วน แล้วยังเผาผลาญบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองให้ย่อยยับ
- ดังที่เราได้คิดเอาไว้และที่ได้เห็นมา เมื่อเราผ่านเมืองอยุธยาทีไร น้ำตามันจะไหลทุกทีเพราะความแค้น
- จึงไม่มีแก่ใจในอันที่อยากจะไปรู้อยากจะไปดู อยากจะไปเห็นมันไอ้เจ้าหม่อง เพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ
- แต่ก็เป็นเพราะบุพกรรมที่เราทำที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติ ที่มีอำนาจลึกลับเหนือจิตใจ บังคับให้เราต้องมา
- แต่การมาของเรา เรามาด้วยความฝันทางมโนภาพ ฝันความคิดเห็น อาจจะเป็นเวรกรรมที่เรามองย้อนอดีตไม่เห็น
- จึงจำเป็นต้องไปตามคำร้องขอ ของทวยเทพเทวดา ให้ข้าต้องผ่านป่าดงมาด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัส แบบเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าถึง 40 วัน รวมเวลาพักเอาแรงถึง 50 วัน
- เมื่อมาถึง และได้สัมผัสทางจิตวิญญาณทางฝันแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาของกรุงอโยธยา
- แต่ครั้งแรกนั้น มีเหตุมาจากลูกน้องลูกแถว ของผู้มีอำนาจสูงสุดของคนไทยเอง ที่ไม่เอาตาดูหูฟัง ความทุกข์ร้อนความเห็นของประชาชน ผู้อยู่ใต้อำนาจบริวาร
- ผู้ใกล้ชิดผู้บริหารชั้นสูงใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บ้าอำนาจ บ้ายศ เห็นตัวเองเป็นเทวดา นึกว่าเจ้าเหนือหัวให้อำนาจ
- เห็นชาวประชาเป็นสัตว์ดิรัจฉานเดินดิน ใครจะไม่มีใช้ไม่มีกิน ข้าไม่รู้ ขอให้กูและพวกพ้องมีความสุขก็พอแล้ว ประชาชนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร ก็หันไปเป็นไส้ศึกให้คนต่างชาติเข้ามาอาละวาดแย่งชิงเข่นฆ่ากันแบบ เกลือเป็นหนอน
- พม่าก็ดี มอญก็ดี เขาเข้ามาตีมาเข่นฆ่า เฉพาะพวกบ้าอำนาจ ของพวกลูกแถว แล้วกวาดต้อนไปเป็นจำเลย ส่วนผู้ที่เคยรับใช้เขา เขาก็เอาไปด้วย
- ก็สมน้ำหน้าแล้วที่พวกบ้ายศบ้ายอ พวกชอบประจบสอพลอ คนเขาไม่พอใจก็ยกพวกมา เผาบ้านเผาเมือง ตลอดเวียงวังให้พินาศ ก็คนไทยนี้เอง
- ซึ่งไม่ผิดกับสมัยพฤษภาทมิฬ เขาเผาเพราะความแค้น แค้นให้พวกหยิ่งยะโส มัวเมาในอำนาจ ไม่ให้มีนิวาสตนที่อยู่ต่อไป ก็คนไทยนี้เองช่วยกันเผา
- ตัวเราเองยังต้องโหมโรงกับเขาไปด้วย เขาจึงเห็นว่าเป็นคนดีมีไมตรีช่วยเหลือกัน แล้วมันก็เอาไปด้วย ไปช่วยทรมาน พวกบ้ายศบ้าอย่างจะได้หายไปจากโลกมนุษย์
- ผลสุดท้าย เจ้าเหนือหัวของไทยคือพระมหินทราธิราช พอหมดอำนาจวาสนาประกอบกับโรคโรคามาประดัง สังขารสู้ไม่ไหว ก็ไปสิ้นใจสวรรคตที่เขตเมืองอังวะนี้เอง จึงน่าสงสารท่าน บ้านเมืองจะฉิบหายเพราะบริวารแท้ๆ
- อันคนชาวพม่าจริงๆนั้น เขาใจบุญเป็นชาวพุทธเต็มร้อย จุดเด่นที่สุดของเขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัตถุที่สวยๆงามๆ ตั้งแต่สมัยอดีตก็ยังไม่ทรุดโทรมเลย
- หลายๆเมืองที่มีพระธาตุเจดีย์ ทุกที่ทุกสถาน เขาช่วยกันอภิบาลปกป้องไว้อย่างดี เช่นเจดีย์ชเวดากอง เดิมชื่อกุรุงตะเล เป็นของพวกมอญสร้างไว้ก่อน
- อันศัพย์คำว่าตะเล ตะเล แปลว่า ภูเขา ซึ่งไม่ผิดกันเลยกับภาษาสิงหล ที่เขาตั้งชื่อว่ามหินตะเล เพราะเป็นสถานที่ พระเจ้าเทวานัมปิ พบกับพระมหินทเถระที่นั้น จึงได้ตั้งชื่อว่ามะหินตะเล
- ส่วนกรุงตะเลที่ประเทศพม่าก็มาจากศัพท์เดียวกัน
- ส่วนพะโคซึ่งก่อนชื่อเมืองหงสาวดีนั้นก็มี Dhammayangi Temble เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชาวเมืองเขาเรียก ธรรมะย่านจี Demmagangi ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ใหญ่โตน่าสักการะ และยังมีพระพุทธรูปสร้างด้วยหินอ่อนหลายพันองค์ตั้งเรียงรายกันน่าเลื่อมใสไม่มีใครแตะต้อง
- ส่วนเมืองอังวะคือบ้านทะเล ปัจจุบันก็มีพระเจดีย์มากที่สุด และอีกแห่งคือพระธาตุสัมพุทธรูป ห้าแสนแปดหมื่น สองพันห้าร้อย ห้าสิบเจ็ดองค์ ซึ่งมีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ประทับอยู่ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ รูปพระอรหันต์อีกห้าพันองค์ พระเจดีย์เล็กหุ้มทองสองพันกว่าองค์
- ก็ยังทรงประดิษฐานอยู่อย่างดีและอย่างเดิม ไม่มีใครเคลื่อนย้ายแตะต้อง พระสวยๆอย่างนั้นถ้าเป็นเมืองไทย เมืองพุทธแต่สำมโนครัว แต่ส่วนตัวนั้น หัวขโมยพระไปขาย พระพุทธรูปเหล่านั้นคงไม่เหลือแล้ว ขนเอาไปขายหมด
- พม่าเขาถือว่าการค้าขาย ถ้าขายพระเป็นสินค้าถือว่าเป็นบาปหนักเท่ากับขายพ่อกิน
- และมีถิ่นอื่นๆ อีกทั้งเขตพม่า เขาจะมีสิ่งสักการะบูชาคือพระธาตุเจดีย์ ตั้งเป็นศรีสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าขุดค้นทำลายเหมือนเมืองไทยเลย
- แล้วยังจะเห็นว่า พม่าร้ายได้อย่างไร
- แต่ที่มันรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับความบ้าอำนาจของคนมีกิเลสหนาเท่านั้น แม้แต่เขมรก็ถืออำนาจอีก
- ส่วนเมืองไทยเรา เรามีหลักชัยอันยิ่งใหญ่คือองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศธรรมนิราช ตั้งอยู่บนดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ถ้าไม่มีพระองค์แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คิดเอาเถิด
- นี้ข้าพเจ้าผู้เขียนเขียนขึ้นมา เพราะได้ไปเห็นมากับตาไปได้ยินมากับหู ไปอยู่กับพม่ามา นานไปได้รับความสุขสำราญทางจิตใจ ได้รับความผ่องใสทางปัญญาที่รู้เรียนมาจากของจริง จึงเชียร์ว่าพม่าเขาดี
- ข้าพเจ้าเข้าไปทุกที่ ได้รับการแซ่ซ้องสาธุการ ถึงกับหามแห่ไม่ให้เหยียบดินเลย เพราะเราเข้าไปมีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ช่วยเขาด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนคนไทยหน้าไหว้หลังหลอก ขอบอกว่าเขาดีกว่าเราในด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม
- ส่วนเรื่องวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวพม่านั้น เขายังยึดมั่นถือมั่นในจริยธรรมอันดีงามของเขา มาแต่บุพกาลนั้น ไม่ต้องพูดถึง เขายังถือประเพณีอันดีงามของเขาไว้
- ทุกคนมีระเบียบวินัย มีนิสัยสมถะไม่ชอบความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนไทย ใจรักธรรม ถึงวันพระจะพากันมาถือศีล นั่งวิปัสสนา หาความสุขทางใจ คุกตะรางมีไม่กี่แห่งทั่วประเทศ
- แต่มีไว้ขังนักโทษทางการเมืองเป็นส่วนมาก สังคมเขาอยู่แบบเรียบง่าย เขาถือว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วก็กระเสือกกระสนหามาทำไม
- คนจัญไรที่เป็นภัยต่อส่วนรวมคือคนที่มีแล้วไม่รู้จักพอ ทรัพยากรของชาติของแผ่นดินเขามีมากกว่าเมืองไทยหลายเท่าเช่น แร่ น้ำมัน ป่าไม้ ถ่านหิน พลอย เขามีมาก แต่เขาหาใช้หาขายเอง ไม่ยอมให้ต่างชาติไปลงทุน เพราะจะไปทำลายของเขา
- ส่วนด้านศาสนาเขาเคร่งครัดที่สุด นักบวชของเขาเป็นผู้นำ ไม่ให้เห่อเหิมในลาภยศ พระเขาไม่เอาเลย เพราะพระระดับผู้บริหาร เขาจะมีการเลือกตั้งกันทุกห้าปี ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาสถึงมหานายะกะ
- เพราะเขาไม่มีกาวตราช้างติดก้นเอาไว้เหมือนพระสงฆ์ไทย การเอารัดเอาเปรียบกันเป็นบาปหนัก เขาจึงอยู่แบบสมถะที่น่าคบ น่ารัก น่านับถือ ไม่เหมือนคนไทยที่นับถือพระพรหมสี่หน้า
- พม่าก็เหมือนกัน แต่ผิดกันด้วยการนับถือ คือตัวพระพรหมท่านมีเพียงสี่หน้า ชาวพม่าก็พากันเลื่อมใส
- แต่ชาวไทยทั้งบุรุษและสีกามีมากกว่าร้อยหน้าพันหน้า มากกว่าพรหม จึงขอสรุปว่า ด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมของชาวพม่าเขาดีกว่าเรา
- แต่เมื่อเข้าไปถึงครั้งแรกนั้นได้ประสบทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งชื่นชมเศร้าโศก หัวเราะและน้ำตา อับเฉาเบาปัญญา ทั้งแสงเจิดจ้าแห่งดวงธรรม มีคละเคล้ากันมาตลอดเวลา
- ถ้าสถานบ้านเมืองนี้แหละ และสถานที่เราอาศัยอยู่นี้ มิใช่ที่เราเคยมีส่วนทั้งทางสร้างสรรค์มาแต่อดีตชาติ ทวยเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย คงไม่เอื้ออำนวยให้เราได้รู้แจ้งในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นเป็นแน่
- ดังนั้นวันนี้เป็นวันศุภมงคลอันล้ำเลิศของชีวิตข้า จึงขออำลาเทวาฟ้าดินทุกถิ่นฐาน ภูมิเทวสถานทั่วขอบเขตขัณฑสีมา
- ขออำลาท่านมเหศักดิ์ผู้พิทักษ์บ้านเมือง ขออำลาท่านผู้ช่วยประเทืองปัญญามาแนะนำแนวทาง การเข้าถึงตัวแฝงตัวลึกลับ ดับความมืดบอดทางปัญญา คือหลวงปู่พระครูโลกอุดรที่มาสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา
- และขออำลารุกขเทวดา ตลอดชาวประชาที่มาอุดหนุนดูแลให้ความอบอุ่นมาตลอด ทั้งเจ้าบุญนายคุณทุกประเภท ลาทั้งผู้มาก่อเหตุให้วุ่นวาย
- ขอขอบใจและบอกว่าถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้น ข้าก็คงจะไม่มีบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า จึงขออุทิศกุศลทุกอย่างที่ข้าได้ทำมาให้ท่านมีส่วนทั่วหน้ากัน
- ข้าขอลาหมู่พฤกษาที่อาศัย จะเลือนลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาพึ่งเย็นอีกเช่นเคย เรามาอยู่สู้ทุกข์เป็นสุขเลิศ ให้ใจเกิดความว่างจนวางเฉย ขอแผ่นฟ้าแผ่นดินถิ่นที่เคย เทพไท้เอ๋ยข้าขอตั้งคำสั่งลา
- ส่วนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ที่ข้าได้รับปฏิญาณกับท่านยอดสตรีศรีพระสุพรรณกัลยานั้น ขออัญเชิญท่านกลับไปด้วยทั้งหมด
- เพราะได้รับรู้ทั้งด้านนามธรรมคือ พระรูปอันโสภิตที่สถิตในดวงใจของข้า พร้อมด้วยพระรูปอันไฉไลโสภา น่าสักการะของท่านที่ข้าได้ทำพิธีกรรมถ่ายรูปเอาไว้
- ก็ขออัญเชิญกลับไปด้วย และท่านก็เล่าให้ฟังทางจิตวิญญาณว่า คนไทยที่เป็นเชลยผู้แข็งแรง ถูกเขาส่งเขาไล่ให้ขึ้นไปเป็นสายสืบตามลุ่มแม่น้ำสาละวินตั้งแต่เหนือจรดใต้ แล้วเขาก็ล้มตายไปหมด
- ท่าน ถึงอยากจะให้ขึ้นไปทางเหนือ ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินทั้งสองฝั่ง เพื่อบอกเล่าและอวยทานอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้รับรู้แล้วอนุโมทนาส่วนบุญ แล้วจะได้นำพาให้เขาได้กลับเมืองสยามไทย
- อันคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทหารหาญของไทยมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาได้ถูกเป็นเชลยต้องไปสังเวยชีวิต ให้กับปัจจามิตรด้วยความที่น่าสงสาร
- และบางคนเขาก็กลับไปเกิดได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็มีบางคนก็ยังตกทุกข์ได้ยาก ฉันจึงอยากจะไปอวยทานให้เขา เมื่อเขาได้รับรู้แล้วเขาจะได้ดีใจและได้กลับไปกับเรา เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป
- และพระนางท่านอยากจะไปทัศนาภาวนาอธิษฐานจิตให้พระน้องยาเธอที่พระนางทรงรักทรงโปรดมากคือ พระนเรศวรมหาราช สวรรคตที่เมืองหางหรือเมืองฮาง เมืองงอย เขตรัฐฉานของพม่าด้วย ซึ่งมีนครเชียงตุงเป็นราชธานี
- ดัง นั้นข้าพเจ้าจึงรีบเปลี่ยนแผนการเดินทางกลับทันที เพราะครั้งแรกตั้งใจว่าจะกลับทางปากน้ำสะโตง ข้ามแม่น้ำสาละวินแล้วเข้ามะละ แหม่งขึ้นเขาตะนาวศรีข้ามบันจะคีรีบรรพตผ่านเมืองแครงแสนหวีตัดตรงเข้า จังหวัดตาก
- เส้นทางก็ไม่ลำบากเพราะต้องผ่านดอย ภูฝอยลม ภูเขากล้า ภูม้าเก้าศอก ภูรเม็งภูร ใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน ก็ถึงฝั่งน้ำเมย ซึ่งติดกับฝั่งไทยในเขตจังหวัดตาก
- แต่ต้องกลับเปลี่ยนแผนใหม่ ไปตามพระประสงค์ของพระนางท่าน ที่จะไปร่ำลาและแจก ทาน ก็ต้องยอมเชื่อ
- เพราะการเชื่อเทวดา เราจะได้สร้างบารมีทานต่อท่าน เพื่ออุทิศให้บริวารเก่าของท่าน ตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน
- เอาเข้าแล้วข้าหนักเหมือนจะให้แบกโลกอีกแล้ว แต่พอออกจากแขวงเมืองพะโค ต้องใช้ขบวนช้างบรรทุกของ เราต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งของที่ท่านต้องการไปแจกทานคือ เสื้อหนาว ผ้าห่มหนาว ยารักษาโรค และสิ่งของสารพัด ใช้เงินไปจำนวนแสนห้าหมื่นบาท สมัยนั้นไม่น้อยเลย
- ค่าจ้างค่าพาหนะ และเงินที่จะไปแจกอีกจำนวนไม่น้อย คราวนี้ต้องเข้าปากน้ำสาละวิน ทวนกระแสน้ำขึ้นเหนือ ใช้เวลาทั้งหมดในการเดินทางสามสิบห้าวัน
- ก่อนกลับข้าพเจ้าได้จ่ายเงินซื้อสิ่งของ ที่จะนำไปแจกทานแก่คนยากจนตลอดทาง แต่สิ่งของที่ท่านประสงค์นั้น
- ไม่ให้ลืมนั้นคือ พระรูปที่เราทำพิธีถ่ายเอาไว้ และสิ่งที่เหลืออยู่ในโอ่งที่เราขุดได้หลายชิ้นคือ ตะว้าแปลว่าฟัน คือฟันของท่าน ยังมีอยู่หลายซี่
- ภาษาพม่า แลกแต ภาษาไทยแปลว่า เล็บมือ ได้มาด้วย โป้งต่อ แปลว่า รูปภาพที่เราถ่าย ซินตุ๊ต่อ แปลว่า รูปวิเศษ คือสิ่งที่ท่านเคารพ ปะตีเซ๊ก แปลว่า ลูกประคำทำด้วยนิลสีดำ
- เพราะท่านเกิดวันเสาร์ คือพระรูปของพระนางสุพรรณกัลยา พร้อมด้วยพระสรีระที่เหลืออยู่ พอเก็บได้ในโอ่งใหญ่ที่เขาฝังไว้ทั้งสองใบ ตลอดทั้งเครื่องบูชา เครื่องประดับอันล้ำค่าของท่านทุกอย่าง
- ข้าพเจ้าขออัญเชิญกลับไปพร้อมกันหมด เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นคือ จู่ๆ แดดจ้าเวลาเที่ยง ฝนกลางแดดก็เทลงมาอย่างหนัก สักประเดี๋ยวก็หยุด
- มวลมนุษย์ชาวพม่าเขาสาธุกันทั่วหน้า ก่อนออกเดินทางก็จุดธูปเทียนร้อยแปดเล่มบูชาพระแม่ธรณี รอบสถานที่ที่เราเคยอาศัยแห่งละแปดเล่ม ปักไว้กับพระแม่ธรณี
- แล้วจึงออกเดินทางโดยขบวนนำส่งอย่างล้นหลาม เขาพากันหามมาส่งอย่างเอิกเกริก และได้อัญเชิญพระอัฐิและกำไรแขนของพระนางท่าน
- ที่ท่านรักและเคารพที่สุดคือ รูปพระแม่อุมาที่เป็นทองคำ แต่เทวรูปองค์ที่เป็นทองคำนั้น ตอนหลังข้าพเจ้าได้นำไปฝากไว้กับเจ้าคุณพระวิมลเมธี
- เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก เอาไปฝากไว้เฉยๆ ไม่ได้บอกว่าให้เป็นของใคร ภายหลังต่อมา ท่านเจ้าคุณใหญ่ถึงแก่มรณะภาพ ทางวัดก็เลยยึดเป็นสมบัติของวัดทับคล้อไปเลย อย่างนี้มันยุติธรรมไหม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น