ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ
กัมมุนา วัตตะตี โลโก
(สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (5)
- อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึงบุพกรรมของผู้เขียนเพื่อเรียนเจริญพรให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอยถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรมที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องมาแล้วนั้น
- อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดาโยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนาอยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขตเมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง
- ส่วนตระกูลของโยมบิดาเป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สักให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือนคุณโยมมารดาเข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง
- เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือนคุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิงใช้เวลาร่วมเดือนจึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลกในกลางสายน้ำนี้เอง
- ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียนจึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำและแม่จริงเป็นคนแปลกที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิงกับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุคือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า
- เมื่อปวดท้องปัสสาวะแม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือผู้เขียนเองก็หลุดออกไป ตกลงในน้ำ
- ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเองก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว
- แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่าหมากับฉันมีชื่อเดียวกัน
- เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมืองในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี
- เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิดเพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทางศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่
- ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม
- แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใสเพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้ จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์
- เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อความอยู่รอดของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช
- ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไปคุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะคือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่ายเหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล
- เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพไปสู่อนาคามี นี้ท่านกล่าวในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
- ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรมเป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบตและทั่วเมืองไทย
- อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอหลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่านสั่งสอนเข้าหลักธรรมชาติประยุกต์ เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน
- พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามากต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกลับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง
- และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มาก ยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมด
- มีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร
- คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติกับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย
- อันพระสงฆ์ทั่วๆไปที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวนให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม
- แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่าปฏิปทาของพระอาจารย์วังใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา
- ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่งในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลดอยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า
- ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่
- เราอยากจะให้คุณไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ได้สู้กับกรรมเวรที่คุณทำมาแต่อดีตชาติ
- จึงขึ้นรถไฟจากลำพูนถึงอยุธยา ลงจากรถไฟแล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่าที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกเผาทำลายมาหลายครั้งจากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน
- เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไปก็เห็นแต่พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
- อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนาไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเองฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุ
- แต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทางทิศตะวันตก
- แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเราและกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสนสาหัสสากันอย่างไร
- ขณะนั้นได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไขในภาวะวิกฤตอย่างนี้
- จึงรีบไปเมืองพะโคคือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไป ผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คนไทยให้พ้นภัย
- เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้วก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขารของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณพระเจดีย์ภูเขาทอง
- แล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น
- เราพักปักกลดอยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุดในพื้นแผ่นดินสยาม
- เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด ตลอดสัตว์คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกันน่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์และนักธรณีวิทยา พากันมาขุดค้นหากันจริงๆก็คงจะเจอกองกระดูกของคนและสัตว์มากที่สุด
- และจะมากกว่าทุกๆแห่งในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเองก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด
- รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวันแล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทางจากเขาพนมทวนถึงด่านเจดีย์สามองค์ใช้เวลา 7 วันแล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน
- เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่าจะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ตามนิมิตฝัน
- นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไรที่ต้องเข้าไปเมืองพม่าอันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้อง ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆ ปี
- เพราะความระยำอัปรีย์ของมัน ที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่น แล้วเผาผลาญเมืองอโยธยาซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรือง มั่งคั่งดังเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยาน เมื่อไรมันดลใจให้น้ำตาไหลทุกที
- เพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่าราวีพี่น้องไทยให้เหลือแต่กระดูกฝังไว้ใต้พื้นพสุธา
- ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ไปรู้ไปเห็นเมืองที่เขาเจริญรุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
- เราไปเห็นมาแล้วและอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆ ที่ยกทัพมารังแกคนไทย ละลอกแล้วละลอกอีก
- นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง จึงมาคิดได้ว่า...
- นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์
- ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ
- ใจรอนๆอ่อนล้ามานิรันดร์
- เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ
- จึง ตกลงว่า เอ๊า ไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไป ไปใช้กรรมใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมา เวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด
- เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติเราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือและเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง
- เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ
- เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่า นั้นขึ้นครองราชแทน
- เจ้าหม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเราไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ ทั้งสามพระองค์ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษาเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย
- และรับภาระทุกอย่างในสิ่งที่ท่าน ต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆ คนที่เป็นเชลย
- แล้วชาตินี้ก็ต้องไปใช้กรรม นำเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด
- และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมา ก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผนให้เจ้า บุเรงนอง ผู้เป็นบิดากับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน
- ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยนแผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ
- แล้วกรรมนั้นก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำ เพราะโทษทัณฑ์ทางการเมืองในชาตินี้เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัสแทบจะเอาตัวไม่รอด
- แต่ถ้าทวยเทพเทวาไม่มาเข้าฝันให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลยหรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น