วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตำนานลอยกระทง‬


ตำนานลอยกระทง‬ 
6 ความเชื่อ วันเพ็ญเดือน ๑๒
...............................................................
1. ตำนานลอยกระทงจากนิทานชาวบ้าน เรื่องกาเผือก
  • เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จู่ ๆ มีพายุใหญ่พัดมาโดนรังกระจัดกระจายจนไข่ทั้ง 5 ฟองตกลงน้ำ ด้านแม่กาถูกลมพัดไปอีกทางหนึ่ง แต่เมื่อย้อนกลับมาไม่เห็นฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตายไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ส่วนฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยน้ำไปคนละทิศคนละทาง
  • ต่อมาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ได้มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาเลย โดยกุมารทั้ง 5 มีนามว่า กกุสันโธ (วงศ์ไก่), โกนาคมโน (วงศ์นาค), กัสสโป (วงศ์เต่า), โคตโม (วงศ์โค) และเมตเตยยะ (วงศ์ราชสีห์) ต่อมากุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงขอลาไปบวชเป็นฤาษี และทั้ง 5 คน ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกันจึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน
  • จากนั้นทั้งหมดได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดา และด้วยแรงอธิษฐานของทั้ง 5 ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดาเมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ เพื่อแสดงความคิดถึง ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมและเพื่อบูชารอยพระบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
    • - ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ (พระกกุสันโธ)
    • - ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน (พระโกนาคมน์)
    • - ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป (พระกัสสปะ)
    • - ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม (พระสมณโคดม)
    • - ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยยะ (พระศรีอาริยเมตไตรย)
  • ตามตำนานดังกล่าว ได้มีพระพุทธเจ้า 3 
  • พระองค์แรก มาบังเกิดบนโลกมนุษย์แล้วในอดีตกาล 
  • พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 
  • พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลก
  • ในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย

2. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
  • รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏ
  • อยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติล
  • คือ ครั้งหนึ่งพญานาคได้ทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
  • ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ 
  • เมื่อพระองค์เตรียมเสด็จกลับ พญานาคจึงได้ทูลขออนุสาวรีย์
  • ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐาน
  • รอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที 
  • เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้ลอยกระทงเพื่อสักการบูชา

3. ตำนานลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
  • เป็นตำนานที่เล่ากันว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ 
  • ได้เสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
  • ได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 
  • เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา 
  • จากนั้นพระองค์ได้เสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ 
  • ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพ
  • และประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชา
  • ด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามตำนานนี้ 
  • จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ

4. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
  • พิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์ 
  • ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ 
  • พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร 
  • นิยมทำพิธีการลอยกระทงกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 
  • หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ ซึ่งจะทำในกำหนดใดก็ได้

5. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุต

  • พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา 
  • ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป
  • มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ อโศการาม 
  • ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์
  • ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมี
  • พระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า
  • ไปบรรจุในในพระสถูปต่าง ๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ 
  • ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฏลีบุตร 
  • และยังต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
  • แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง 
  • มีเพียงพระอุปคุตที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น 
  • ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตปราบพญามารจนสำนึก
  • ตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว 
  • พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม 
  • จากนั้นจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์ 
  • สำหรับพระอุปคุต คนไทยจะเรียกได้อีกชื่อว่า ..พระบัวเข็ม

6. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
  • ตำนานนี้เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ 
  • เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางดึกด้วยม้ากัณฐกะ 
  • พร้อมนายฉันทะ มหาดเล็กผู้ตามเสด็จ
  • ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขี่ม้ากัณฐกะ 
  • กระโจนข้ามแม่น้ำไป เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว 
  • เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด 
  • ตรัสให้..นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร 
  • และทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา
  • "สาธุ โข ปพฺพชฺชา"
  • แล้วจึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย 
  • พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ 
  • พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุ
  • ยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในเทวโลก 
  • ทำให้การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี 
  • จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย

...................................................................

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 14

"ถ้อยแถลงท้ายเรื่อง"


ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (9)



  • ท่านผู้อ่านโปรดทราบ ในเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ส่วนมากก็ได้กล่าวไว้ที่เรื่องนั้นๆที่ได้มาจากฝัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระของบุคคลบางจำพวก ซึ่งก็เกือบจะร้อยทั้งร้อยไม่ค่อยจะเชื่อ คือหากจะมีตำรากล่าวไในมหาสุบินนิมิตสูตร ซี่งเป็นนิมิตความฝันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลายๆที่กล่าวไว้ในศาสนาต่างๆว่า พระผู้เป็นเจ้า God มาเข้าฝันก็ดี หรือเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้าย พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระสุบิน (ฝันว่า) บรรดาทวยเทพเทวา มาห้ามไม่ให้อยู่ที่เดิม คือไม่ให้ทรงสร้างเมืองหลวงขึ้นที่เดิมคือกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงทรงยาตราทัพ ไปตั้งที่บางกอก คือก่อนนั้นชื่อบางกอกและข้างวัดมะกอก จึงขอบอกว่า เรื่องฝัน มีมานาน หลายร้อย หลายพันปีแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องจริงตอนหลัง

  • แต่เรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ คือตัวของคน คือตัวจริง เห็นก็รู้ คือรู้จักว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น คือเป็นโน่น เป็นนี่ เขาเป็นอะไร เป็นใคร ตัวนี้รู้ จึงจะเห็น ส่วนตัวที่สาม คือตัวแฝง ซึ่งเป็นตัวนามธรรมล้วนๆเป็นเรื่องที่ผู้อ่านสนใจมาก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกแจกไม่ทัน และก็ทำให้ผู้เขียนเองตลอดทั้งโรงพิมพ์ด้วยจะบ้าเอา เพราะการขอมาไม่ขาดสายวันละหลายสิบราย เพราะพิมพ์ออกแจกฟรี พิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดีราคาแพงๆ ยังมาแจกฟรีได้ไม่หมดตัวให้รู้ไป ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเองตระหนักดีว่า เราเป็นพระ เป็นนักบวช เราต้องเป็นผู้ให้ มิใช่ผู้เอา ถือว่าการทำอะไร ถ้าหวังความร่ำรวย หวังผลกำไร มิใช่วิสัยของสมณะ เพราะ ผู้เขียนเป็นพระนักให้ ที่ได้กล่าวมาแล้ว มิใช่พระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน รบมาได้ไม่รู้จักพอ (ไม่รู้จักเอือม เป็นทาสของตัณหา)

  • อันเรื่องตัวแฝงนั้นก็คือการแยกตัวรูปธรรม คือตัวจริง กับตัวเป็น นี้ออกให้เป็นสองภาค หลายท่านอาจไม่รู้ไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องวิเศษวิโส ของคนระดับอรหันต์หรือผู้ถอดจิตได้ แต่ความจริงนั้น จิตกับกาย มันถอดออกจากกันได้ในเวลาที่กายสงบไม่ต้องทำอะไร ส่วนจิตใจก็อยู่ในภาวะที่สงบจากอารมณ์ภายนอกเช่นกัน อย่างเรานอนฝัน ก็จะฝันในขณะที่กายมันนอนหลับสบายแล้วกายก็หลับ จิตก็ฝัน มันจะฝันไปตามเรื่อง เรื่องเหตุที่จะให้ฝันนั้น ได้กล่าวไว้แล้ว และอีกเรื่องๆที่สอง ผู้เขียนเอามากล่าวเป็นเรื่องราวไว้ในที่นี้ เอามาจากอาการที่กายสงบอยู่สบายๆในที่สงัด ทางกายที่เรียกว่า กายวิเวก ส่วนจิตก็อยู่ในภาวะที่สงบ เรียกว่า จิตวิเวก คือ ทำสมาธิ จะเป็นชั้นไหนก็ได้ทั้งนั้น อันดวงจิตนี้เองมันจะกลายเป็นสสารที่มีอยู่แล้วในบริเวณนั้น ที่มันมีอยู่ก่อน หลายสิบ หลายร้อย หลายพันปี มันจะไม่หายไปไหน ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีหลักว่า E=mc2 (สสารย่อมไม่หายไปจากโลก) อันสสารของใหม่ คือ ตัวจิตวิญญาณของเรา พอมันคลุกเคล้ากับสสารเก่าที่มีอยู่แล้ว มันก็แสดงให้เป็นรูป ให้เห็นในฝันด้วยสายตา และเป็นเสียง ให้เราได้ยินทางโสตประสาท (ทางหู) ในจิตใต้สำนึก ก็เป็นฝันอีกเช่นกัน
  • ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็กรุณาอย่าหาว่า เป็นเรื่องเหลือวิสัยเลย โปรดให้ท่านเข้าไปอยู่ที่สงบ สงัด ทั้งกายและใจ ในสถานที่สงบสงัดดังกล่าวมาแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ในจิตใจของเรา เบื้องต้นมันจะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่ง มันจะสร้างความรู้สึกนึกคิด อยากเห็น อยากได้ความสงบ อยากพบกับความรับผิดชอบ ชั่วดี อีกฝ่ายหนึ่ง มันอยากจะคลุกคลีกับธุลี คือกิเลสตัณหา ทั้งสองฝ่ายในดวงจิตเรา มันโอเคลงรอยกันได้ ตอนนี้สมาธิจิต คือ จิตเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับสสาร ที่มีอยู่บริเวณนั้น มันจะเกิดเป็นแสงสว่างทางจิต วิญญาณ ความมืดมน ที่ทำให้จิตวิญญาณ มันหายไป อันสิ่งใดๆ ในอดีตกาลมันจะผ่านเข้ามา ให้รู้ได้ทางจิต มีนักปราชญ์ทางจิตวิญญาณหลายท่าน ได้เขียนไว้ อย่างท่านพุทธทาสท่านพูด ท่านคุยอยู่คนเดียว กับก้อนหิน ที่เป็นรูปอวโลกเตศวร ท่านหลวงวิจิตรวาทการ ท่านนั่งคุยอยู่คนเดียวกับพระนารายณ์ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช สนทนากับพระประธาน ท่านสมภารกร่าง คุยกับพระพุทธรูปทั้งวัน ในเรื่องไผ่แดง และตัวผู้เขียนเอง นั่งคุยกับกอไผ่ แต่ข้างในเป็นเสาหลักเมืองโบราณ จนได้ขุดค้นขึ้นมา และได้สร้างไว้ให้ชาวพิจิตร 

  • ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจว่า อันตัวแฝง วิญญาณแฝง มันมีอยู่ในดวงจิตของท่านแล้ว คืออยู่ในดวงจิตของทุกๆคน แต่คนเราส่วนมาก มองข้ามไป ไม่นำออกมาใช้ มันจึงเกิดทุกข์ เพราะจิตวิญญาณ มันโดนขัง ฝังลึกอยู่กับโลภ โกรธ หลง สารพัด จงหาทางฝึกหัดกันบ้าง เพื่อเป็นเรือนที่พัก เป็นวิมานของจิตใจ แล้วใจจะได้รับความสุข ความสว่างเหินห่างจากทุกข์ภัย

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 13

"ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา"




  • ข้าพเจ้าผู้เขียนได้บันทึกเอาไว้เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ท่านทำและท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) 
  • เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงความเป็นมาของท่านและต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดาคือพระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ 
  • ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเชื้อสายต้นตระกูลของพระนางท่านนั้น มีกำเนิดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดามาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสายพระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้และได้บันทึกไว้มีดังนี้

  • เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชย์เมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชาของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติโดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรักราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามาจะตีกรุงศรีอยุธยา โดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติและอำนาจวาสนาอย่างเดียวกัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้นที่บ้านป่าถ่าน
  • ต่างองค์ต่างก็ฟันกันด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา 
  • เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกกองทัพมากวาดต้อนเอาผู้คนเป็นจำนวนมาก จากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็นไพร่พลของอ้ายขะแม (เขมร) 
  • สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชาในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน 
  • ในระยะที่เจ้าสามพระยาตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมรอยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติที่พลับพลานั้นเอง 
  • เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้วก็กวาดต้อนเอาไพร่พลและสิ่งของที่มีค่ากลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชาครองเมืองกัมพูชาแทน 
  • พวกขอมในระยะนั้นเป็นเมืองขึ้นคือประเทศราชของไทยจึงย้ายเมืองหลวงจากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญตลอดทุกวันนี้ ส่วนพระอินทราธิราชก็อยู่ครองเขมรไม่นานนักก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์
  • ส่วนพระบรมไตรโลกนาถได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบและอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน 
  • พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่เมืองพิษณุโลกแล้วก็ได้รับการต้อนรับจากอาณาประชาราษฎร์อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี 
  • และเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขตทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับอยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษาพระประวัติและพระราชประเพณีของวีรบุรุษแบบกรุงสุโขทัยในอดีต 
  • และในเวลานั้นก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการเก่าๆ ในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำให้ความรู้เพิ่มเติมอีก 
  • และได้ทรงเลือกประเพณีเก่าๆและใหม่ๆมาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูกอย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราชและทรงเลือกปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษหลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุของบรรพบุรุษและเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน
  • อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน 
  • และในสมัยของพระองค์ท่านก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัยยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อและไพร่พลเมื่อปี พ.ศ. 1999 
  • เมื่อปีนั้นเองพระองค์ก็ทรงเสด็จกลับ เพื่อรับเป็นรัชทายาทไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เองก็เกิดยุ่งกันขึ้นทางเหนืออีก 
  • เพราะพระองค์ทรงปกครองแบบพ่อปกครองลูก มิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆ เป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆ มีเจ้าเมืองปกครองกันเองแบบเจ้าเมืองเจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกันเพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์
  • ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลก ก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรี สวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ 
  • เพราะเวลานั้นเมืองเชียงใหม่มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาเพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไปกวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท 
  • พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราชจะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมาของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป 
  • สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือมันยุ่งกันนัก 
  • จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบาย ย้ายพระองค์เองขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทยอยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 
  • ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน
  • ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงามไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และวัดอื่นๆอีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูตไปอาราธนานิมนต์พระผู้ทรงแตกฉานในพระไตรปิฏกจากทวีปลังกามาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา 
  • ส่วนพระองค์เองก็ทรงอุปสมบทประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้วก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่งเป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 
  • พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่านผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระแตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือนถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุดก็ฆ่าลูกชายของตนเอง 
  • สมเด็จพระบรมไตรโลนาถเห็นเป็นโอกาสดีจึงยกทัพขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญาเป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสี เชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) 
  • พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ 
    • องค์ที่หนึ่ง พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ในการรบที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) 
    • องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อนแล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทนพระราชบิดา 
    • ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองเหนือคือเมืองพิษณุโลก 
  • ส่วนกรุงศรีอยุธยาก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน 
  • อันวีรกรรมผลงานของพระรามาธิบดีองค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีกเมื่อปี 2050 
  • พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบและได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้นในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระบรมไตรโลกนาถและพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวงวัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง
  • วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอกเอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) 
  • ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุดอำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว 
  • อันเจ้าทั้งหลายต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทางที่จะแสวงหาอำนาจความเป็นใหญ่ใส่ตัวและพวกของตัว 
  • ผู้ที่ใฝ่และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชย์คือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 พระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 
  • อันพระเจ้าไชยราชาธิราชซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชย์อยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ 
  • ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราชได้ครองเมืองนี้เองได้สู้รบกับกองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอูสู้ไทยไม่ได้ ถอยกลับ 
  • เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อนที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ ก่อเรื่องให้บ้านเมืองต้อง เดือดร้อนไปทุกหัวระแหง
  • เพราะความร้ายกาจของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัดของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป
  • ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายในและภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติประสบภัยอันใหญ่หลวงถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ 
  • เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อนและเป็นผู้กอบกู้ชาติไทยให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนาแต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาให้ขึ้นครองราชแทน 
  • แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆ ที่ตัวเองมีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเองชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชย์แทน 
  • แล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชย์ต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง 
  • จึงวางแผนฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเองด้วยให้กินยาพิษเมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราชย์อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชายของเจ้าแก้วฟ้าแทน
  • ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้วกลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใครที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย 
  • จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรมของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด 
  • โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจและท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผนทูลเชิญเจ้าเหนือหัวคือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน 
  • ให้อาณาประชาราษฎร์ได้ยลโฉมอภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้างออกพ้นนอกกำแพงเมืองถึงตรงคลองสระบัว 
  • ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว 
  • จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรูเสี้ยนหนามของแผ่นดินให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ดของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติรักบ้านเมือง 
  • เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจในผู้มีอำนาจ วาสนาบารมีมากๆว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรีบารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไปบรรลัยลูกเดียว
  • เมื่อชาวกรุงศรีอยุธยาช่วยกันกำจัดตัวเสี้ยนหนามของชาติ คือเจ้าขุนวรวงศา กับศรีสุดาจันทร์ได้สำเร็จแล้ว 
  • ก็พร้อมกันไปทูลเชิญ หลวงพ่อพระเฑียรราชา ให้ลาผนวช (คือให้สึก ลาเพศจากสมณะ ให้ขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 2091 
  • เหตุ ที่ท่านจะหนีบวชเพื่อพึ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เพราะทนการปองร้าย การจองล้างจองผลาญ พาลหาเรื่องใส่ความ จากพี่สะใภ้คืออีแม่นางศรีสุดาจันทร์ไม่ไหว 
  • จึงไม่สนใจรับราชสมบัติใดๆ ทั้งนั้น แต่คราวนี้พระองค์ท่านต้องรับหน้าที่ไม่มีทางปฏิเสธได้เพราะเหตุที่ชาวประชา ข้าราชการทั้งหมดในเมืองสยามไทยฝากความหวังไว้กับท่านให้ครองราช 
  • จึงได้อภิเษกให้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้อภิเษกสมรสกับพระศรีสุริโยทัย เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้เสวยราชแล้วก็ปูนบำเหน็จให้ผู้ทำความดีช่วย เหลือบ้านเมือง ผู้กำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินทุกคน คือ 
  • ท่านขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งอดีตเป็นเจ้ากรมตำรวจ ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมือง และพื้นเพเดิม ตระกูลเดิมของท่าน ก็เป็นรัชทายาท เชื้อสายของวงศ์พระร่วง และเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดกับพระไชยราชาธิราช ผู้เป็นพระบิดาของเจ้าแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) ผู้เป็นพี่ยาเธอของพระเฑียรราชา 
  • จึงสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช แล้วเลื่อนเป็น พระมหาธรรมราชา แล้วทรงมอบพระราชธิดาองค์ใหญ่ คือ พระวิสุทธิกษัตรี ให้ไปเป็นพระชายา แล้วให้ไปครองเมืองพิษณุโลก 
  • ก็ทั้งสองท่านนี้เองเป็นผู้ให้กำเนิด คือพระราชบิดา และราชมารดา ของพระนางสุพรรณกัลยา กับเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว แล้วต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ากลียุค พม่าบุกทำลาย พระเจ้าตาของพระนางคือพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงเรียกตัว กรีฑาทัพลงมาช่วยที่อยุธยา
  • อันพระเจ้าตาของท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ กับพระเจ้ายาย คือ พระศรีสุริโยทัย ได้ให้กำเนิด พระราชโอรสสองพระองค์ พระราชธิดาสามพระองค์ ซึ่งมีรายนามดังนี้คือ
  • 1. พระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
  • 2. พระวิสุทธิกษัตริย์ คือ พระมารดาของพระนางเอง กับเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว
  • 3. พระบรมดิลก
  • 4. พระเทพกษัตรี
  • 5. พระมหินทราธิราช ซึ่งได้ครองราช แทนพระจักรพรรดิ
  • องค์ที่หนึ่ง พระองค์แรกเป็นชาย ชื่อพระราเมศวรเป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญชาญชัย มีความรักชาติ รักพี่รักน้อง รักแผ่นดิน รักเกียรติภูมิ ได้ตำแหน่งรัชทายาท มีความองอาจ คู่พระทัยในพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแพ้สงครามก็ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกัน พร้อมด้วยพระเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว 
  • เมื่อแพ้สงคราม เราทั้งสาม ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง ขอเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม เขานำไปไว้ที่เมืองหงสาวดีเช่นกัน 
  • องค์ที่สามคือ พระบรมดิลก ที่สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง เหมือนพระมารดาคือ พระศรีสุริโยทัย แต่พงศาวดารไทยไม่ได้กล่าวถึงเลย เท่ากับเป็นวีรสตรีที่สาบสูญไปอีกองค์ ขาดจากความทรงจำของไทยไม่ผิดกับฉัน 
  • องค์ที่สี่คือ พระเทพกษัตรี ท่านองค์นี้นับว่า เป็นราชธิดาที่น่าสงสาร ในชีวิตของท่านต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนรอนแรมไปอยู่ต่างแดน 
  • เพราะในการเสียกรุงครั้งนั้น เจ้าศรีสัตนาคนหุต ฉุดเอาไปทำเมียเสียเอาดื้อๆ 
  • องค์ที่ห้าคือ พระมหินทราธิราช ผู้ครองอำนาจต่อจากพระมหาจักรพรรดิ แล้วเมื่อเสียกรุงครั้งแรกปี พ.ศ. 2112 เจ้าบุเรงนองจับเอาไปเป็นเชลยและให้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา พอเดินทางไปถึงเมืองสระถุงใกล้กับเมืองอังวะ พระมหินทราเกิดความไม่ยำเกรงต่อบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี บุเรงนองเกิดพิโรธ โกรธแค้นจึงสั่งประหารด้วยดาบแล้วโยนศพลงแม่น้ำสะโตง 
  • ก็พระคุณท่านยังลงไปงมเอาศพขึ้นมาทำฌาปนกิจให้ท่าน ฝังไว้ตรงไหนท่านรู้เองตอนท่านกลับ ก็อย่าลืมขุดเอาอัฐิธาตุกลับไปด้วยนะ 
  • ส่วนขบวนของพระเจ้าลุงของฉันคือ พระราเมศวรนั้น เขาไล่เอาไปเป็นทัพหน้าอยู่ทางเหนือ เมื่อท่านกลับ กรุณาไปเชิญเอางาช้างเผือกไปด้วยเพราะช้างเผือกนั้นมีงาแฝดข้างหนึ่ง เป็นสีดำ หรืองาช้างดำ เล่มเล็กๆ ใครมีไว้เป็นมงคลแก่ตัว
  • ส่วนฉันเองพร้อมด้วยน้อง พอเห็นเขาประหารพระเจ้าอา คือพระมหินทราธิราช ต่อหน้าต่อตาก็พากันเกิดปริวิตกอย่างมากว่าสักวันหนึ่ง เรื่องตายแบบนี้ก็ต้องถึงเราแน่ 
  • แต่ก็มีท่านเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ทัดทานเอาไว้ ในคราวที่พวกฉันจะถูกรังแก แต่ไม่รู้ว่าท่านมีอะไรดีอยู่ในตัว ทำให้บุเรงนองต้องกลัวและเกรงใจท่านเอามากๆ 
  • คงจะเป็นเพราะท่านเป็นหมอ หมอยาสมุนไพร ได้ช่วยรักษาให้บุเรงนองหายจากโรค พ้นจากความตายได้หลายครั้ง 
  • และบุเรงนองเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เนื้อตัวเกรอะกรัง ด้วยน้ำหนองไหลไม่ขาด ท่านฉลาด หายาตามป่ามาอาบ ทา ให้หายทุกครั้ง 
  • และเขาถูกช้างเหยียบจะตายเอา ท่านชี้มือบอกให้ช้างหยุด ช้างก็หยุด เขาไม่ตายเพราะท่าน ดังนั้นเจ้าบุเรงนองจึงเกรงใจท่าน และรักท่าน
  • และท่านก็ได้กราบทูลเขาว่า กุมารทั้งสองคนพร้อมด้วยกุมารีอีกคนหนึ่ง คือตัวฉันกับน้องๆ นั้น เจ้าเหนือหัวทรงขอกับพระมหาธรรมราชา มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม 
  • เจ้าเหนือหัวต้องรักษาสัจจะ ให้รักเขาเหมือนลูกและทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ ถ้าหากไม่แล้วข้าพเจ้าจะยอมตาย แล้วปล่อยให้ท่านทรมานด้วยโรคตลอดไปและจะตายเอาเร็วด้วยนะ 
  • ดังนั้นเขาจึงรักฉันกับน้องๆ เหมือนลูกจริงๆ แต่ก็ไม่ขาดจากสายตาท่านที่จะต้องดูแลทุกข์สุขในการเดินทาง บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ห้อยโหนปีนเหว ใช้เวลารวมเดือนกว่าๆ 
  • พวกเราทรมานมาก ไม่รู้ว่ามีกรรมมีเวรอะไรแต่ชาติปางก่อน มันจึงย้อนมาสนองเราเอาชาตินี้ ขอให้ท่านจงช่วยแก้กรรมให้ด้วย
  • หรืออาจจะเป็นเวรกรรมที่พระบิดาของฉันทำกับแม่นางศรีสุดาจันทร์ก็ได้ อันการที่ฉันได้เล่าเรื่องราวถึงสกุลรุนชาติสายญาติต้นตระกูลเดิมของฉันก็มีเท่านี้
  • สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดีก็ยกกองทัพเข้ามารุกรานด้วยได้ระแคะระคายว่า กรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งราชสมบัติกันขึ้น 
  • พระเจ้าหงสาวดีจึงให้เกณฑ์พม่า สมทบกับมอญและไทยใหญ่ ให้มาชุมนุมทัพพร้อมกันที่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงยกมากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2091 
  • อันที่จริงกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่ว่าไม่เคยสงคราม แต่สงครามที่ได้ทำมาในครั้งก่อนๆนั้น นอกพระราชอาณาเขต ไม่เหมือนกับครั้งนี้ 
  • เพราะในสมัยก่อน พระไชยราชาธิราชก็ได้ต่อสู้ฟาดฟันกับพม่าคือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ให้ป่นปี้หนีหายไปไม่เป็นขบวนมาแล้ว 
  • ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีศึกใหญ่เข้ามาประชิดประเทศ ยึดดินแดนส่วนสำคัญของไทยเป็นสมรภูมิ แต่เนื่องด้วยกำลังรี้พลและเสบียงอาหารของไทยในระหว่างนั้นยังสมบูรณ์อยู่
  • ด้วยเมื่อกำจัดขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ แต่นั้นมาบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบมิได้เกิดการจราจล ถึงกับรบราฆ่าฟันกันมากมาย 
  • เมื่อได้ข่าวพระเจ้าหงสาวดียกกองทัพใหญ่เข้ามาประชิดพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพเมืองเหนือลงมาช่วย 
  • และทรงส่งกองทัพใหญ่ออกไปตั้งรักษาเมืองสุพรรณบุรี เป็นที่มั่นคอยรับหน้าข้าศึก และเตรียมการป้องกันพระนครศรีอยุธยาไว้ก่อน 
  • แต่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดีมีกำลังใหญ่หลวง กองทัพไทยที่ยกออกไปตั้งรับรักษาเมืองสุพรรณบุรีจึงสู้ไม่ได้ จำต้องทิ้งเมือง ถอยกลับมายังกรุงศรีอยุธยา 
  • การถอยในครั้งนี้เป็นการถอยแบบถอยท่าเดียว มิใช่เป็นการถอยพลางสู้พลางหรือหาที่มั่นแห่งใดแห่งหนึ่งรับข้าศึกเป็นระยะๆไป แต่เป็นการกลับถอยหนีเข้ากำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาอย่างเดียว
  • ส่วน ทางกรุงศรีอยุธยาเล่า แทนที่จะส่งกองทัพออกไปช่วยกองทัพสุพรรณบุรี กลับเฉยเสีย ปล่อยให้กองทัพของเจ้าหงสาวดีรุกไล่ถึงชานพระนคร 
  • ขณะนั้นถ้าหากกองทัพไทยจะยกกองทัพออกไปต่อต้านข้าศึก ก็อาจจะได้เปรียบกว่า ทหารพม่าอยู่บ้าง 
  • เพราะกองทัพไทยในกรุง ยังสดชื่นอยู่ ส่วนกองทัพพม่า ยกกองทัพรอนแรมมาย่อมจะเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง 
  • ถ้าหากทางกรุงศรีอยุธยาจะยกเข้าโจมตีทันทีเมื่อกองทัพพม่ามาถึง ก็คงจะได้ชัยชนะบ้าง แต่ทางกรุงศรีอยุธยากับนิ่งเฉยเสีย
  • เพราะยังไม่ได้ฤกษ์จากโหร ปล่อยเวลาให้ข้าศึกได้พักผ่อนและกินอาหารให้อิ่มมีกำลังก่อน จึงได้ฤกษ์จากโหร
  • และในช่วงนี้เองที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องบันทึกการสูญเสีย สมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป อย่างน่าเศร้าสลด 
  • กล่าวคือ กองทัพพม่ายกทัพเข้ามาตั้งค่ายที่ชานพระนครเป็นที่มั่น เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 แล้วพอรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ 
  • สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ใคร่จะทรงทราบกำลังของกองทัพข้าศึกว่าจะเข้มแข็งประการใด จึงลอบเสด็จยกกองทัพหลวงออกไป 
  • ครั้งนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหมสีขอเสด็จตามไปด้วย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็โปรดอนุญาตให้แต่งพระองค์เป็นชายอย่างมหาอุปราช 
  • ต่างองค์ต่างทรงพระคชาธารหรือช้างศึก ออกไปพร้อมกันกับพระราชโอรสทั้งสองคือ พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช 
  • กองทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงออกไปปะทะกับ กองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นกองทัพหน้าของพระเจ้าหงสาวดี 
  • ความตั้งพระทัยเดิมว่าจะออกไปดูลาดเลาข้าศึกนั้น กลายเป็นการทำยุทธหัตถีเข้าโดยฉับพลัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เข้าชนช้างกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที ก็แล่นหนีข้าศึก เจัาแปรได้ทีก็ขับช้างไล่ตามมาไม่ยับยั้ง

  • สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสีที่ตามเสด็จมา ทรงเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะเป็นอันตราย ก็ไสช้างทรงตรงเข้ามาขวางกั้นพระสวามี 
  • พระเจ้าแปรสำคัญว่าเป็นชาย ก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระอังศาขาด ซบพระเศียรทิวงคตอยู่บนคอช้าง 
  • ขณะนั้น พระราเมศวร กับพระมหินทราทรงเห็นเหตุการณ์ ก็ขับช้างทรงเข้าช่วย ขวางกั้นข้าศึกไว้อย่างหนักหน่วง จนข้าศึกถอยทัพ 
  • จึงได้พระศพสมเด็จพระชนนีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ถอยทัพกลับคืนเข้าในพระนคร 
  • สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อทรงถอยทัพกลับคืนเข้าพระนคร แล้วก็ใหัรักษาพระนครไว้ให้มั่น คอยกองทัพเมืองเหนือของพระมหาธรรมราชาที่จะยกมาถึง จึงจะตีทัพข้าศึก กระหนาบทั้งสองด้านให้พร้อมกัน 
  • ส่วนพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้น ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่สวนหลวง ภายหลัง ได้ทรงมีบัญชาให้สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิงศพ ที่ในสวนหลวง ต่อเขตวัดสบสวรรค์ 
  • แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้นตรงพระเมรุ มีพระเจดีย์ใหญ่เป็นสำคัญ ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้คือ วัดสวนหลวงสบสวรรค์

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 12

"เกร็ดย้อนรอยประวัติศาสตร์ และ
พงศาวดารพระตำนานของพระสุพรรณกัลยา"


  • ดัง ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำปรารภเบื้องต้นนั้นว่า อันการได้มาซึ่งพระประวัติ เรื่องราวอันเป็นตำนานที่เป็นทั้งแบบรูปธรรม และนามธรรมของพระตำนานพระสุพรรณกัลยานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก 
  • เพราะในประวัติศาสตร์ และพงศาวดาร ก็กล่าวไว้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เรื่องที่เป็นความจริงหรือใกล้ความจริงของวีรสตรีท่านนี้ จึงเกือบจะหายจากความรู้สึกนึกคิดความทรงจำของคนไทยไปแล้ว 
  • แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดจากความฝันอันเป็นอารมณ์ที่ธรรมชาติสร้างมา และบุญกรรมบาปเวรที่มีอยู่ก่อน เป็นผลสะท้อนย้อนมาให้ผู้เขียนไปตามความฝัน เพื่อไปแก้กรรมและสร้างกรรมต่ออีก 
  • จึงได้ใช้ความพยายามบุกป่าฝ่าดงมุ่งตรงต่อเมืองเมียนม่าด้วยเท้าเปล่า โดยมิได้อาศัยยานพาหนะใดๆทั้งนั้น
  • ด้น ดั้นเดินธุดงค์ไปอย่างเดียวดายแทบจะถึงปางตายเอาชีวิตไม่รอดและได้ไป เจอมรสุมของชีวิตทุกรูปแบบ ใช้เวลานานถึงสองปีกว่าๆ ในสถานที่ที่จะต้องการไป 
  • เพื่อศึกษาหาความจริงจากอารมณ์ฝัน เราไปแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วเรื่องอะไรถึงต้องไปและก็ได้กล่าวตอบแล้วในตอนต้น 
  • อันยอดปรารถนาของเราก็เพื่ออยากสัมผัสทางจิตวิญญาณ เมื่อได้รับรู้ทางจิตวิญญาณแล้วก็ค้นคว้าให้จิตวิญญาณที่เป็นนามธรรมนั้นให้ เป็นรูปธรรมขึ้นมา 
  • คือพระฉายาลักษณ์จากกล้อง ถ่ายรูปออกมาจนได้ และก็ได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าทางตำนานจากตำรับตำราของเขาที่เขาเก็บเอาไว้ใน หอสมุด 
  • บังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆเมื่อปี พ.ศ. 2229 ที่เขาไม่เอาใจใส่แล้ว มาศึกษาดู ก็ไปพบหนังสือซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ของพระนางเองที่เขียนเอาไว้หลายตอน ผู้เขียนจึงได้ตัดทอนที่เป็นอักษรพม่าสมัยโบราณ เอามาลงไว้ดังต่อไปนี้
  • อักษรหนังสือนี้ เป็นอักษรโบราณนานมาแล้ว ซึ่งไม่ต่างกับอักษรไทยในสมัยอยุธยา ผู้เขียนจึงแปลออกมาได้ความว่า 
  • "ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชายพร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราชกรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"
  • "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

  • เมื่อใช้ความพินิจพิจารณาดูด้วยเหตุผลและเนื้อเรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่า ตัวพระนางเองเมื่ออายุได้ 14 ปี และน้องชายคนโตคือ เจ้าองค์ดำอายุ 12 ปี เจ้าองค์ขาวอายุ 10 ปี ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย 
  • เหตุที่ตัวพระนางจะไป เพราะน้องชายทั้งสองไม่ยอมไปถ้าพี่สาวไม่ไปด้วย ก็ผิดกับพระตำนานและประวัติศาสตร์ว่า พระนเรศวรมีอายุ 3 ปี ส่วนพระเอกาทศรถก็คงปีกว่าๆเท่านั้น และเจ้าบุเรงนองจะเอาไปทำไมเพราะเล็กเหลือเกิน เดินไม่ไหวแถมยังเป็นภาระในการเลี้ยงดูอีก และจะเอาน้ำนมที่ไหนให้กินเพราะสมัยนั้นไม่มีนมเทียม นมสำเร็จรูป ที่จะให้เด็กเล็กๆดื่มได้อย่างสมัยนี้ ฟังดูแล้วมันไกลจากความเป็นจริง แต่นี้พระองค์ดำมีพระชนมายุถึง 10 ปี เดินได้สบาย

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 11

เทวรูปพระอุมาทองคำ




  • ใน ปัจจุบัน ทางวัดมันเห็นแก่ได้ มันจะเอาลูกเดียวหรือมันเอาไปขายกินเสียแล้ว ใครจะไปรู้ แต่เราก็พอมีสักขีพยานอยู่คือพระมหาสำเนียงเท่านั้น ที่เป็นคนแบกไปถวายฝาก ไว้ และจะยังยืนยันว่าเป็นของฝากไว้เฉยๆ มิใช่ของท่านผู้รับฝากและของวัดแม้ แต่ประการใด 
  • เอาองค์ท่านมัดรัดติดตัวเรา เดินทางไปลงเรือที่ปากน้ำสาละวิน หันหลังใส่ทิศทักษิณผินหน้าขึ้นเหนือทวนกระแสน้ำ 
  • จากแขวงเมืองชาวบุน (Schawnon) (หรือชาวนัน ซึ่งเป็นเมืองอังวะแต่ก่อนมา) จากชาวบุนถึงทาดอง (Thadon) ใช้เวลา 10 วัน 
  • เพราะต้องแวะตามฝั่งแจกทานไปด้วย ส่วนมากเป็นผ้าห่มกันหนาว เสื้อผ้า และยารักษาโรคดังกล่าวมา จากทาดองถึงลอยกอ (Loikon) หรือบอละเก (Bolake) 
  • อันเมืองบอละเกนี้เอง เป็นที่สวรรคตของพระเจ้ามหินตราธิราช ผู้ครองเมืองอยุธยา แต่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย 
  • จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ พระมหาธรรมราชา เป็นพระอุปราชครองราชแทน และพระมเหสีและพระประยูรญาติหลายพระองค์ ก็เพราะไข้ป่าและโรคผิดอากาศ 
  • จากบอละเกถึงเมืองนาย (Noitow) ใช้เวลา 10 วัน จากเมือง NOITOW (เมืองนาย) ถึงเมือง HANDITOW (เมืองหาง) ใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดวัน แบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมด้วยขบวนหาบส่งของ 
  • อันเมืองหางนี้ ปัจจุบันชาวบ้านเขาเรียก เมืองฮาง หรือเมืองงอย ท่านสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2150 พระชนมายุได้ 50 พระชันษา เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี 
  • เป็นสถานที่พระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคตเพราะโรคไข้ป่าและโรคฝีดาษ อันเมืองนี้เป็นเมืองอิสระอยู่ในหุบเขาซึ่งเป็นแหล่งปลูกและผลิตฝิ่นที่มากที่สุดดีที่สุดในโลก ซึ่งโลกภายนอกไม่สามารถที่จะไปถึงได้ในปัจจุบัน 
  • ขบวนเราพักผ่อนอยู่ที่นี่ห้าวัน เพื่อทำบุญอุทิศถวายพระองค์ท่าน และก็มีพระเจดีย์เล็กๆ ที่ไทยใหญ่เขาสร้างครอบที่ฝังพระศพท่านไว้ด้วย
  • เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป จะเข้าเขตแดนไทยต้องไปตามทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมาทางตอนใต้ (เทือกเขาถนนธงชัย อันเทือกเขานี้ ต่อจากเหนือสุดของรัฐฉาน ผ่านพม่าตอนเหนือ เขตภูฐานถึงเขาตะนาวศรี คิดดูแล้วจะเป็นฝีมือของธรรมชาติมาสร้างเขาทั้งสองลูกนี้ได้ยาวเหยียดครึ่งทวีปเอเซีย) 
  • ทั้งเรือทั้งคนขนส่งเรามากมาย สุดทางเมื่อไหร่มอบเรือให้เขา พร้อมด้วยเงินค่าแรงงาน ตามที่เขาต้องการ เรือพายทวนกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวกราก เห็นบ้านคนต้องจอด 
  • เขาประกาศว่าเจ้าตนบุญ มาโปรดเราแล้ว เราก็แจกของจนหมด ถึงเมืองที่เจริญหน่อยก็ซื้อเพิ่มเติมอีก 
  • ตอนหลังมาเรื่องเรือจ้างต้องเลิก เราจัดซื้อของและจ้างเรือเป็นรายวัน ให้เขาเรียกค่าจ้างตามชอบใจไม่เคยต่อเขาเลย เรามีแต่ให้กับให้ จำสุภาษิตว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ขอ
  • พอออกจากเมืองปันเข้าเมืองทน ต้องใช้ขบวนหาบต่อ ขนของกันขึ้นเขาลงห้วย ลูกแล้วลูกเล่า อากาศก็เย็นเพราะเป็นฤดูหนาว ขบวนหาบและแบกของต้องเดินป่าผ่านดงกลางพงลึก จิตรำลึกถึงคนึงหลัง ตอนเรานั่งภาวนาหาตัวแฝง ที่หลวงปู่โลกอุดรสอนแสดง ให้รู้แจ้งประจักษ์จิตอนิจจัง ตามโอวาทของพ่อโลกอุดรสอนไว้
  • ท่านให้รู้ตัวจริง ตัวเป็น ตัวแฝง ไว้ในใจตน จงแยะแยกตนตัวจริง กับตัวเป็นออกให้หมด
  • แล้วกำหนด ที่ผู้รู้ เป็นครูสอน
  • สอนให้รู้ อยู่คู่กับ ดับนิวรณ์
  • อย่าให้จิตโยกคลอน ผ่อนอารมณ์ ข่มจิตใจ 
  • เมื่อจิตเผลอไป ใจก็กลุ้ม รุมกิเลส
  • ชักหาเหตุ รักชัง ฟังไม่ไหว
  • ท่านสอนไว้อย่างไรก็เป็นจริงทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม 
  • อันทางรูปธรรมนั้นคือ เราโดนใส่ความว่าเป็นพระตัวการ ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงในวงการสงฆ์ ของพระพม่า เพราะเราออกค่าใช้จ่าย ถวายพระสงฆ์ทั้งหมดที่ไปเดินขบวน จึงเจอเรื่องหนัก ถูกกักขังบริเวณ และโดนสอบสวนทุกวัน 
  • ส่วนด้านนามธรรมนั้นคือการค้นหาตัวแฝง รูปแฝงออกมาใช้ได้ผล ก็หลุดพ้นออกมาได้
  • และตัวแฝงนี้เอง ที่ได้ใช้ให้ไปค้นคว้าเรื่องโลกวิญญาณ จนได้ไปพบพระวิญญาณของท่านผู้มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ แก่บ้านเมืองสมัยนั้น คือพระวิญญาณของนางสุพรรณกัลยา และสถานที่เขาฝังพระเจ้าเหนือหัวของกรุงศรีอยุธยาคือพระมหินทราธิราช พร้อมด้วยพระประยูรญาติของพระองค์ 
  • เราได้ค้นเอาสมบัติและสิ่งหวงแหนของท่านมาสักการะไว้แล้ว ตลอดทั้งได้แก้ไขทางไสยศาสตร์เวทมนต์กลคาถาให้ท่าน ได้หลุดพ้นจากการผูกมัดด้วยภัยเวร
  • แล้วเชิญวิญญาณท่านเดินทางกลับ อันกิจธุระเรื่องแก้เวรแก้กรรมของเรา และท่านผู้มีพระคุณต่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้มาหมดแล้ว จิตใจก็ผ่องแผ้ว ด้วยสมความปรารถนา
  • จึงมาคิดในใจว่า ก็พระมหาเถระทั้งประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆ ท่าน ทำไมดวงจิตของพระนางท่าน ตลอดทั้งทวยเทพเทวาฟ้าดิน จึงไม่ไปสัมผัสให้ต้องเดินทางเข้าไปช่วยบ้าง 
  • ส่วนข้าพเจ้าเองก็เป็นพระภิกษุสับปะลังเค ในทัศนะของพระสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านทำไมจึงผูกพันหรือนิมนต์ให้ไปช่วย จะเอาผู้อื่นไม่ได้หรือ 
  • ภายหลังจึงมานึกได้ว่าอันคนที่จะไปช่วยท่านได้นั้น มันต้องเป็นคนบ้าหลายระดับ คือหนึ่งบ้าไม่กลัวความลำบากยากเข็ญ ไม่กลัวตาย 
  • เพราะเคยตายมาแล้วหลายครั้งจากอุบัติเหตุ ดังจะกล่าวไว้ข้างหน้านี้ เพราะขณะที่ตายโดยมีสตินั้น เราได้ฝึกหัดตายก่อนตายมาแล้วว่า ขณะที่จิตมันไม่สัมผัสกับตัวจริง และตัวเป็นนั้นมันมีอาการอย่างไร
  • อันภาวะของภวังคจิต กับวิถีจิต นั้นมันจะมีอาการอย่างไร แล้วจับเอาตัวเองมาสร้างเป็นตัวแฝง จึงไม่กลัวตาย บ้าไม่กลัวตาย ยิ่งตายบ่อยยิ่งดี และบ้าไม่กลัวคนทุกรูปแบบ ในทางที่ถูกต้อง 
  • อย่างที่สอง ต้องบ้าระดับเห็นเงินเห็นทอง เป็นของส่วนกลางมิใช่ของเราเอง และเราก็มั่งมีร่ำรวยเหลือใช้แล้ว จึงเห็นว่าเงินคือตัวภัยร้าย เป็นไฟเผากิเลสให้อยากได้มากๆ 
  • แต่นี้เราพร้อมและมีพร้อมที่จะให้ เพราะพื้นเพเดิมมีเหลือใช้เหลือกิน 
  • บ้าประเภทที่สาม คือบ้าแบบเดนผีและเดนคน เดนมนุษย์และทั้งผีทั้งมนุษย์เขาไม่ต้องการ คือจะตายไปเมืองผี ผีก็ไม่รับ เพราะเคยมีอุบัติเหตุทางเครื่องบินตกในต่างประเทศมาแล้ว ผู้โดยสารตายหมดเหลือแต่เราคนเดียว เพราะผีมันไม่ยอมรับ มันบอกว่ากลับไปได้ผีไม่เอา และเคยประสบอุบัติเหตุทั้งทางน้ำทางบก ไม่ตายสักที 
  • และบ้าประเภทที่ไม่แคร์กับลาภยศ สรรเสริญ ไม่เพลิดเพลินในอามิสสุข
  • เราบวชมาแสวงหาทุกข์อย่างเดียว ถือว่าทุกข์คือบทเรียนบทรู้ของชีวิต จึงยึดเอาประสบการณ์ของชีวิตมาเป็นบทเรียน 
  • และบ้าประเภทที่สี่ คือบ้าหนังเหนียว ปืนยิงไม่เข้าและไม่ตาย (ถ้าลูกปืนไม่ถูก) ห้าบ้าประเภทเป็นคนทำอะไรทำจริง แบบบ้าระห่ำ ทำไม่เสร็จไม่หยุดไม่ยอมเลิก 
  • ดูแต่สร้างพระพุทธรูปแจก แจก แจกฟรีๆ ไปเป็นแสนองค์ ยังไม่ยอมเลิก แบบบ้าไม่กลัวฉิบหาย ขอบอกว่าข้ามันครบครันในเรื่องบ้า 
  • บ้าระดับโลกมนุษย์และโลกผี ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายมิใช่ของเรา เป็นของแผ่นดิน ของส่วนกลาง ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง 
  • เกิดมาจากท้องแม่ก็มาแต่ตัวเปลือยเปล่าล่อนจ่อน ผ้าผ่อนสักชิ้นก็ไม่มี แถมยังหลุดจากท้องแม่ตกลงไปในน้ำ 
  • ถ้าหมาไม่ช่วยไว้ก็เรียบร้อยโรงเรียนตาย ตายไปแล้ว ร้อนใจพาไปนรกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเองทวยเทพเทวาเห็นพระโง่นองค์นี้แหละที่บ้าหนักกว่าผีกว่าคน 
  • จึงดลบันดาลให้ต้องไปต่อสู้ และก็คงจะเป็นบุพกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน จึงย้อนมาสนองผล
  • เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขบวนพวกเราไปพบถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ในระหว่างต่อเขตแดนพม่ากับไทย 
  • เป็นถ้ำใหญ่ที่กว้างขวางน่าอยู่ และภายในถ้ำมีแต่หินสีเขียวเป็นหยกอย่างดี ที่มีค่ามากๆ (รู้สึกจะเป็นแหล่งหยกที่ดีที่สุด มากที่สุดในโลก เพราะหินทุกก้อนทั้งเขาเป็นหยกทั้งนั้น จึงพากันนั่งพักเอาแรง) 
  • ขณะนั้นเองเจ้าเก่งหมาคู่บุญของเรา ล้มลงนอนยาวหายใจระรวยๆ ลิ้นห้อย น้ำลายไหล เอาอย่างไรกันว๊า 
  • จึงเอาปรอทวัดความร้อนสอดเข้าปากก็ปกติ หัวใจเต้นปกติ ช่วยกันพยุงให้มันลุกมันก็ไม่ยอม จึงประกาศร้องขอให้พวกขบวนหาบว่า หยุดพักกลางถ้ำนี้เอง 
  • เราห่วงเพื่อนตายของเราคือเจ้าเก่ง ถึงหายาสมุนไพรแถวนั้นคือเถาหมาว้อ กำลังเสือโคร่ง กรุงเขมา เถาวัลย์เขียว มาต้มให้กินเป็นยาแก้ร้อนใน 
  • ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เพราะเรื่องยาแผนโบราณ การสมุนไพร เราเรียนมาและช่วยรักษาตัวเองและผู้อื่นได้ผลมาแล้ว นี้เป็นหมา อาหารของมันก็มังสะภักษ์ไม่ต่างกับคน ผลที่มันจะหายมีแน่ พวกลูกหาบลูกจ้างทุกคนดีใจเพราะเขาจะได้พักผ่อนได้ค่าจ้างรายวัน
  • จึงจัดที่พักนอนให้เราในคูหาใหญ่นั้นเอง อยู่ใกล้ๆ กับเจ้าเก่ง ลูกหาบเขาเป็นคนดี รักเรามาก หากพวกนั้นเป็นคนไทยมันคงจะร่วมใจกันทุบหัวไปแล้ว 
  • เขาจัดแจงที่พักของเขาอีกคูหาหนึ่ง แล้วก่อไฟไว้ให้สองสามจุด เพื่อเป็นแสงสว่างดับความมืดในเวลากลางคืน ภายนอกถ้ำมีผาสูงชัน... 
    • ได้ยินเสียงวิหคนกร้องก้องในไพร เสียงเรไรไก่ขันสนั่นดง 
    • เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องโหวกโหวย เสียงโอ๋ยๆบนกิ่งไม้มีเหลือหลาย 
    • เสียงผัวๆตัวเมียที่โยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง 
  • โอ้... น่าเวทนา เจ้าชะนีเรียกหาผัว เหมือนตัวเราเรียกเจ้าเก่งที่เจ็บป่วยให้ได้หาย เก่งเพื่อนตายจงได้หายจากโรคา ไท้เทวาจงช่วยขัดกำจัดภัย 
  • ในคืนวันนั้นตอนดึก เห็นพระสงฆ์ไทยใหญ่รูปร่างสูงโปร่งน่าเคารพ ท่านเดินผ่านแสงไฟ เข้ามานั่งบนแท่นหินหยกในถ้ำ ติดกับที่ข้าพเจ้านอนอยู่ 
  • ท่าทางท่านสังวรแบบสมณะเต็มร้อย ท่านออกปากถามข่าวว่า... ขะมะนิยัง อาวุโส... เราก็ตอบภาษาพระว่า ขะมะนิยัง ภันเต... 
  • ท่านก็ยิ้มรับแล้วบอกว่าในชีวิตของคุณ คุณคงจำได้ว่า ท่านกับผมพบกันมาแล้วสามสี่ห้าครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
  • ผมจะสนับสนุนแต่คนที่ทำความดีแล้วไม่หวังผลตอบแทน คุณจำจากบ้านเมืองมาคราวนี้ คุณได้ทำประโยชน์มาก 
  • และได้รู้ได้เห็นได้ศึกษาหาความรู้ทางตัวแฝงได้ดี ยากที่บุคคลธรรมดาสามัญจะทำได้ เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบเดนตาย 
  • และยังได้บริจาคทานแก่คนที่ตกยาก ใช้เงินส่วนตัวไปแล้วหลายล้านบาท แล้วยังช่วยผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ นั่นคือพระนางสุพรรณกัลยา 
  • ที่ได้มีส่วนสัมพันธ์ทางบุญคุณกับท่าน พร้อมด้วยพระธิดาทั้งสองพระองค์มาด้วย 
  • คุณรู้หรือเปล่าว่าพระนาง ท่านมีพระธิดาองค์แรกเป็นทารก เขาปล่อยให้อดตายไปก่อนแม่ แล้วเขาจับยัดใส่ไหลูกเล็กฝังไว้ ก่อนที่คุณขุดค้นเอานี่เอง และเรียกเอาวิญญาณมาด้วย ส่วนคนที่อยู่ในท้องได้แปดเดือนถูกฆ่าตายทั้งกลม ด้วยน้ำมือของเจ้ามังสะไชยสิงหะราช หรือนันทบุเรง ไปพร้อมกับแม่ที่เรียกว่าพระนางตายทั้งกลม 
  • ท่านช่วยทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณ เอามาหมด 
  • และทั้งหมดนั้น เขาจะกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านในอนาคต และจะเป็นผู้ชายทั้งสองคน เป็นผู้มีบุญมาก มาเกิดในสกุลทุกข์ยาก 
  • แต่เขาจะเกิดมาช่วยสังคม ท่านดูไปก็แล้วกัน คนพี่เขาจะมีชื่อว่าสุริยัน คนที่สองชื่อว่าบุญชุ่ม อีกประมาณสักสามสิบปีข้างหน้า 
  • ท่านจะเห็นหน้าเขา และเขาจะรักและเคารพท่าน เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ท่านดูไปก็แล้วกัน สักวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะมาหาท่านเอง 
  • และแต่ละคนเขาก็จะเวียนว่ายตายเกิดเหมือนท่านเอง เพราะรีบมาสร้างบารมีไม่ยินดีในทิพยสมบัติ อย่างผู้อื่นเขานิยมกัน 
  • ก่อนมาเกิดในชาติปัจจุบัน เจ้าสุริยัน เป็นผู้กอบกู้เอาเมืองถลางเขตปักษ์ใต้ เขาจึงเกิดเมืองใต้ ส่วนเจ้าบุญช่วย (บุญชุ่ม) เขาเกิดมาเป็นเจ้าตนบุญ ผู้โด่งดังในภาคเหนือ คือพระอุปัชฌายะของคุณเอง 
  • ต่างคนต่างเป็นครูเป็นศิษย์กันมาตลอด แล้วให้คุณภาวนาว่า... ปุพเพวะสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะวา เอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรังวายะโถทะเก... 
  • ถ้าผู้มีจิตสร้างจิตให้เป็นตัวแฝงได้ ภาวนาคาถานี้ จะรู้ชัดเจนว่าชาติปางก่อนย้อนไปไม่เกิน 5 ชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง จำไว้นี้เป็นคำเตือนของหลวงพ่อโลกอุดร
  • จากนั้นท่านก็แนะนำเรื่อง การรักษาตัวจริง คือร่างกายด้วยการกินการนอน การทำงานให้สมดุลย์อย่าใช้มันมาก 
  • ส่วนตัวเป็น ให้ลดละทิ้งให้เด็ดขาด อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวเป็น คือตัวเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรต่อมิอะไร ตามวิสัยที่โลกเขาสมมุติกัน อันตัวเป็นนี่เอง คือสมุทัย จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เพราะไปยึดติดมัน อันคนส่วนมากชอบยึดติดอยู่กับตัวเป็นนี้เอง มันจึงทุกข์ 
  • ส่วนตัวแฝง ตัวทิพย์ ที่เรารู้เราเห็นมานั้นแหละให้สร้างมันขึ้นมา ติดตาตรึงใจไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี อันตัวแฝงนี้ ยิ่งใช้งานยิ่งมีพลังที่จะช่วยตัวเองและคนอื่นได้ 
  • ส่วนตัวเป็น ยิ่งนำออกมาใช้ยิ่งยุ่งทั้งแก่ตัวเองและสังคม 
  • ส่วนตัวจริงนั้น ยิ่งใช้งานยิ่งเสื่อมโทรม แก่ง่ายตายเร็ว อันตัวที่จะช่วยให้ตัวจริงได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เร็วตายเร็วได้ ก็อาศัยตัวที่สามคือตัวแฝงนี้เอง 
  • จงจำเอาไว้ และผมขออวยพรให้ท่านได้ทำประโยชน์ให้สังคมไปนานๆ และขอเตือนกรรมที่ท่านทำเอาไว้ คือไปยิงปืนขู่ข้าศึก ให้ผิดใจกับพวกนางสนมนางในนั้น 
  • เขาไม่พอใจ จึงร้องขอเจ้าเหนือหัวให้ประหารชีวิต แต่ท่านคิดทัน หลบหนีออกเวลากลางคืน ขนสมบัติไปด้วย ไปฝังเอาไว้ ที่ไม่ไกลจากวัดที่เมืองอยุธยา ที่พระพนรัตน์ไปเกิด
  • อันสมเด็จพระพนรัตน์นั้นคือท่านขรัวโต (สมเด็จโต พรหมรังสี) อันวีรกษัตริย์ตั้งแต่อดีตนั้น ท่านได้สืบสันติวงศ์ทางบุญกุศลกันมาตลอดคือ พ่อขุนราม ก็มาอุบัติในวงศ์จักรี องค์ที่ 5 คือ พระปิยะมหาราช 
  • คุณอย่าลืมว่า วงศ์กษัตริย์ในเมืองสยามไทยนั้น ท่านมีการสืบสันตะติกันมาหลายชาติหลายภพ ซึ่งแต่ละท่านทำคุณงามความดี ให้แก่บ้านเมืองที่คนส่วนมากยอมรับนับถือเอามากๆ 
  • ท่านเหล่านั้นก็กลับมาเป็นกำลังของชาติ ในยุคปัจจุบันคือ ระดับเจ้า ระดับขุนพล ขุนทัพ แม่ทัพ ในยุคนี้สมัยนี้ทั้งนั้น 
  • ส่วนลูกชายบุญธรรมของท่านทั้งสองคนนั้น เขามีตัวแฝงมาแต่กำเนิด เขาเลี้ยงตัวได้ และท่านเองก็รักเขาจริงๆ เหมือนลูกในไส้ 
  • และเขาทั้งสองจะเกิดมาสนองกรรมไว้ชาตินี้เท่านั้น แล้วก็จะทำจิตให้ถึงพระอนาคามี ไม่มาเกิดอีกแล้ว 
  • ผมขอฝากไว้ด้วย เพราะเขาจะช่วยสังคมและคนทั่วไปตลอดชีวิตของเขา และเขาก็ปราศจากคู่ครอง ท่านดูเองก็แล้วกัน 
  • ผมไปละ ลาก่อน พบกันใหม่ที่เทือกเขาหิมาลัยในอีกไม่นานนัก เพราะท่านจะต้องตามถนอมรัก ลูกคนที่สอง ซึ่งอยู่ที่หิมาลัยประเทศ
  • ในเวลาที่ข้าพเจ้านั่งฟัง มันเป็นอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ครึ่งฟื้นครึ่งฝัน และก็ฝันดีด้วยช่วยให้เรามีกำลังใจ 
  • คิดอีกอย่างว่าก็ทำไมหนอ พระสุพรรณกัลยา ท่านไม่บอกเราในเรื่องนี้ นี่เราเอาพระวิญญาณ ของทั้งสามแม่ลูกมาด้วย 
  • ดีเหมือนกัน เราจะได้สัมผัสกับแม่ม่ายลูกสอง ตอนนั้นรุ่งอรุณเวลาฟ้าสางพอดี เจ้าเก่งหมาคู่บารมี มันลุกออกวิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน 
  • เป็นเพราะเราเอายาสมุนไพรกรอกปาก และยาปะคบให้มันจึงหายหรืออะไรชอบกล มันร่าเริงเข้ามาหา ส่อสายตาฝากความรักประจักษ์จิต ดีกว่ามิตรที่เป็นคนล้นเหลือหลาย 
  • จึงมานึกว่า ถ้าไอ้เจัาเก่งมันไม่ทำอาการป่วย เราพร้อมคณะก็ผ่านด่านดงพงป่าเหล่านี้ไปแล้ว และก็จะไม่เจอท่านผู้มีปัญญา 
  • ผู้มีบุญมาโปรดเราอย่างนี้เลย นี่เจ้าเก่งมันเป็นหมาแสนรู้ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนของมันคือข้าพเจ้า แต่ตัวข้าพเจ้าสิโง่และโง่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก 
  • เพราะไม่รู้ล่วงหน้า อะไรจะเกิดขึ้น ตกลงเรายอมแพ้หมา ยอมให้หมาที่ฉลาดกว่าเรา เข้าตำราว่า โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็นฉลาดไม่ได้เลย
  • การเดินทางต่อ เราข้ามภูเขาหลวงที่ขวางกั้นพม่าตอนบนกับไทยตอนเหนือ ได้ใช้เวลาอีกสิบห้าวัน ออกช่องทางบ่อเบี้ย 
  • เพราะต้องเดินอ้อมขุนเขาที่สูงชัน จากเหนือล่องใต้ จากเมืองปันเมืองทนล่องใต้ออกเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พวกขบวนหาบส่งเขาก็ลากลับบ้านเมืองของเขา 
  • เราจึงโทรเลขถึงเจ้าทิพย์วรรณและนายพันเอกประภาส จารุเสถียร ผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมาตลอด 
  • ท่านจึงส่งรถสองคันขึ้นไปรับกลับเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2493 ส่วนสิ่งของต่างๆ จำนวน 3 หาบ เราฝากไว้กับบ้านเจ้าทิพย์วรรณ 
  • เพราะไว้ใจท่านมากและท่านก็เป็นเจ้า ระดับเจ้าฟ้าหญิงแห่งนครเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งก็เป็นสายญาติผู้ใหญ่ของโยมมารดาของเราเอง 
  • ส่วนข้าพเจ้ากับเจ้าเก่งก็เข้าป่าแสวงหาวิเวก พร้อมด้วยพระรูปของพระสุพรรณกัลยา และท่านสั่งว่า รูปพระน้องยาเธอของท่าน คือพระนเรศวรมหาราช ก็ให้หล่อไว้พร้อมกัน
  • ท่านสั่งว่าอีกในไม่ช้า พม่าเขาจะมีพระรูปของเจ้าบุเรงนอง ไว้ใกล้ชิดติดแดนไทยในภาคเหนือของประเทศ 
  • เพราะเขาถือว่า ผู้เอาชัยชนะไทยได้ มีเจ้าบุเรงนองพระองค์เดียวเท่านั้น เขาจึงจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้เขตแดนไทย 
  • และแล้วขอให้ท่านอัญเชิญพระรูปของพระนเรศวร ไปประทับไว้ฝั่งไทยให้หันหน้าใส่กัน อย่าให้ห่างกันเกินกว่า 1,000 วา 
  • ให้สองเสด็จได้ทัศนาเจริญสัมพันธมิตรไมตรีต่อกัน และไทยกับพม่าก็จะเป็นเสมือนแผ่นดินเดียวกัน ทางจิตใจ และจะได้เจริญสิริวิไลทั้งสองประเทศ
  • เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือ จู่ๆ เมื่อปี 2540 นี้เองพม่าก็สร้างอนุสาวรีย์ของเจ้าบุเรงนองขึ้นไว้ที่ท่าขี้เหล็ก ระยะติดชิดกับฝั่งแม่สาย หันหน้ามาทางฝั่งไทย 
  • ใครๆไประยะนี้ก็จะเห็นเจ้าบุเรงนอง ข้าพเจ้าจึงจะอัญเชิญพระบรมรูป ของพระนเรศวรไปประทับไว้ที่ฝั่งไทย ให้อยู่ตรงไหนก็ได้ 
  • แต่ต้องให้ไกลกันเกินกว่าสองพันเมตร ที่อำเภอแม่สาย หันพระพักต์ไปทางพม่า ให้ทั้งสองพระองค์ได้หันหน้าใส่กันอีก 
  • เรื่องก็นับว่าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ที่พระนางท่านบอกไว้เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น จึงนับว่าความฝันเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ 

  • เพราะพระรูปข้าพเจ้าได้หล่อไว้ก่อนแล้ว เป็นพระรูปขนาดเท่าตัวพระองค์จริง เพราะข้าพเจ้าเชื่อความฝันของตัวเอง จึงลงมือปั้นหล่อไว้ก่อน 
  • ขณะนี้พระรูปก็อยู่ที่ข้างกระท่อมของข้าพเจ้าเอง พร้อมที่จะอัญเชิญไปได้ทุกเมื่อ 
  • ขอบอกว่าอันพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ของพระสุพรรณกัลยาพร้อมด้วยทาริกาทั้งสองนั้นตกเป็นของคนไทย แล้วตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2491 
  • และได้เดินทางถึงแผ่นดินไทยเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2493 และได้ทำการหล่อรูปของพระนางท่านเมื่อ พ.ศ. 2535 ปิดมาเป็นความลับแต่แรกเริ่ม ครบห้าสิบปี
  • และได้เจอกับกุลสตรี บุตรสาวของท่านเมื่อปี 2520 คนแรกที่งานวางศิลาฤกษ์อาคารร่วมกับสมเด็จพระญาณสังวร 
  • ตอนนั้นพระองค์ท่าน ยังไม่ได้สถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหมอสุริยัน เขาเป็นเจ้าพิธีพราหมณ์ มีคนนับถือเขามาก 
  • เขาเข้ามาขอมอบตัวเป็นลูกบุญธรรมตลอดชีวิต และเมื่อเขาบวชเป็นบรรพชิตคือเป็นพระภิกษุ จากสมเด็จพระญาณสังวร 
  • และครั้งที่สองบวชที่วัดสระเกตุ เขาบวชวันนั้นเสร็จเขาก็ไปอยู่กับข้าพเจ้าตลอด ลูกคนนั้นคือคุณสุริยัน อริสังวโร หมอหยองที่คุณรู้จักทุกวันนี้ 
  • ส่วนคนที่สองคือ เจ้าบุญชุ่ม เขารู้จักกับข้าพเจ้าตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเณร ตอนที่เขาเป็นสามเณร นั่นซิเอาเรื่องมาให้เราแทบจะบ้าตาย เรื่องเขาเป็นสามเณรรูปหล่อ ข้อปฏิบัติเคร่งครัด คนก็นับถือมาก อยากจะไปอยู่หิมาลัยประเทศ คือเขตตอนเหนือประเทศเนปาล ข้าพเจ้าเองกับคุณโยมประดิษฐ์ วิชาพานิช คุณเม่ง นายช่างภาพ คุณบุญไชย ใครอีกบ้างก็จำไม่ได้ นำขึ้นเครื่องบินเหินฟ้า พำนักปฏิบัติภาวนา ไปหิมาลัย เอาไปฝากไว้กับพระอมริตตะเถระ เจ้าคณะใหญ่ประเทศเนปาล ท่านสมภาร และเป็นประมุขของสงฆ์ ก็ยอมรับลูกบุญธรรมของเรา 
  • เพราะก่อนเราเคยพบกันที่พม่า พอออกพรรษา ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์ วิชาพาณิชย์ คุณวิภาวรรณ หมอพิลาทั้งครอบครัว พากันไปเยี่ยมไปทอดผ้าป่า ถวายค่าอาหาร แล้วเดินทางต่อไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนั้นประเทศนั้น
  • ตอนขึ้นไปทางเหนือติดแดนจีนคือเมืองยาลัมและอเวเลสต์เชิงเขาหิมาลัยนั้น ตรงนั้นเขาเล่าว่าเป็นเวียงวังบ้านเกิดให้กำเนิดของหลวงปู่พระครูโลกอุดร ชื่อจริงของท่านคือ พระอุตระ น้องชายชื่อพระโสณะ ที่มีกล่าวในอนุพุทธประวัติ ที่ท่านถูกส่งเป็นสมณะฑูตไทย เดินทางมาให้กำเนิดพุทธศาสนาเผยแพร่ในแดนสุวรรณภูมิ คือแดนทอง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว และเขมร โดยเฉพาะคนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอมที่คนผู้ละโมบโลภหลงเอาชื่อท่านมาขายกินกัน 
  • ในสังคมไทยหารู้ไม่ว่า หลวงปู่โลกอุดรเกิดที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป ในคราวนั้นเราไปกันหลายคนเพื่อนมัสการโบราณสถานที่นั่นและทั่วหิมาลัยประเทศ 
  • จึงขอบอกตรงๆว่า หลวงพ่อโลกอุดร คือพระอภิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ ท่านจะเสด็จโปรดทุกแห่ง 
  • แต่แห่งใดมีจิตใจเป็นพระนักรบคือรบกวนชาวบ้านเพื่อแสวงหาลาภผล ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระ ท่านไม่เอาด้วย และไม่ปรากฏให้เห็นเลย ท่านจะช่วยแต่ผู้ที่เสียสละ มีแต่ให้กับให้ 
  • และช่วยคนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และต้องได้ตัวในคือตัวแฝงด้วย และตัวแฝงเอาออกมาใช้ได้ด้วย อันเจ้ากูที่หนาด้วยกิเลสหาทางร่ำรวยฉวยโอกาสนั้นเมินเสียเถิดอย่าหลอกเขาต่อไปเลย 
  • บ้านช่องของท่านอยู่ที่เมืองอุตระยาลัมอเวอเลสต์ เขตติดต่อกับแดนจีน เชิงเขาหิมาลัยโน้น
  • ตอนไปคราวนั้น เราได้พำนักแสวงบุญไปชมไปนมัสการ สถานที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งเกือบทั่วหิมาลัยประเทศ 
  • การไปเที่ยวที่นั่นวันนั้นเมื่อพากันชมสถานที่ที่พระผู้มีบุญมาเกิด พวกเราก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นเอง สามเณรเจ้าบุญชุ่มก็ลองภูมิข้าพเจ้าว่า 
  • พ่อครับ หนังสือในแผ่นหินป้ายใหญ่ๆนี้ ลองอ่านซิหลวงพ่อ เราก็อ่านดังๆให้ทุกคนได้ยิน หนังสือนั้นเขียนเป็นอักษรฮินดีและกูต๊าฟ มีประมาณ 30 แถว 
  • แล้วกำลังจะแปลให้ลูกศิษย์ฟัง ประเดี๋ยวนั่นเอง แทนที่จะเป็นน้ำไหลออกมาอย่างเจ้าบุญชุ่มบอก แต่เป็นพระสงฆ์รูปร่างใหญ่ เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น 
  • ซึ่งก็มีรั้วทองแดงสูง 2 เมตร กั้นไว้ ท่านเดินออกมาได้เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านเดินยิ้มออกมา จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า... จะมะนิยังอาวุโส... 
  • เราก็ตอบท่านว่า ขะมะนิยังภันเต (เป็นภาษาพระสงฆ์ท่านถามข่าวคราวกันตามธรรมเนียม)... 
  • ถ้าแปลเป็นไทยให้ตรงๆว่า ท่านยังทนไหวหรือ (หรือท่านยังไม่ตายหรือ) แล้วก็ขอถ่ายรูปรวมกัน ข้าพเจ้ายืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย พระอาคันตุกะยืนขวา 
  • วันนั้นมือกล้องถ่ายหลายท่านร่วมกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็จากกัน พวกโยมๆ ก็อยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร ทำไมจึงแสดงความสนิทสนมกับอีตาโง่นมากนัก ขนาดจับมือถือแขนหยอกล้อกันถึงกับเอามือลูบหัวโล้นอีตาโง่นได้
  • แต่ ท่านหัวล้านใสในสายตาท่านคมสงบเสงี่ยม พระหัวล้านกับพระหัวโล้น เจอกันมันแท้ๆ แต่รูปถ่ายที่ออกมารูปท่านกลายเป็นพระแขก มีผ้าพันหัวเอาไว้มิใช่หัวล้านสักหน่อย 
  • พวกโยมๆ จึงฮือฮาถามว่าทำไมถึงเป็นไปอย่างงี้ เราก็ตอบเขาว่าก็ฝากพนักที่เป็นก้อนหินป้ายนั้นแหละ เป็นที่อยู่ของหลวงปู่ โลกอุดร เกิด
  • ถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ ณ ที่นี้ องค์ที่ท่านจำแลงรูปออกมาจากก้อนหินนี้ คือหลวงพ่อโลกอุดร 
  • ท่านเป็นพระอริยเจ้าระดับอภิสมารกายคือกายทิพย์ จะปลอมแปลงตัวให้เป็นอย่างไรก็ได้ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเข้ามาที่นี่มิใช่ที่ราบเรียบ 
  • แต่เราเดินมาอย่างสบาย ขึ้นเขาหิมาลัยมาได้อย่างไม่รู้ว่ามันสูงชัน ดูโน้นซิโยม หิมะที่ปกคลุมเขาอเวอเลสต์ ขาวโพลนไปหมด 
  • แต่ขากลับเราก็จะเดินสบายเพราะต้องเดินลงได้อานิสงส์มาก ทุกคนก้าวหน้าร่ำรวยสบายแล้ว รูปนั้นถ่ายด้วยกล้องโพโลรอย รูปจะออกมาให้เห็นทันที 
  • แต่ที่ถ่ายด้วยกล้องอย่างดีนั้น วันหลังเอาฟิลม์จากกล้องอย่างดี มาล้างดูจะเป็นอย่างไร และเมื่อล้างดูแล้วก็เป็นเหมือนกันหมด 
  • ดังที่เห็นในภาพนี้เอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ขอให้คิดเอง แต่ผู้เขียนเชื่อเต็มร้อย เพราะเราถ่ายในสถานที่เกิดของท่าน