วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

ตำนานพระสุพรรณกัลยา 1

ตำนานพระสุพรรณกัลยา
ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (1)
จากหนังสือ
"ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
โดย หลวงปู่โง่น โสรโย
วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร (พ.ศ. ๒๕๔๑)




  • อันเรื่องราวที่กล่าวถึง พระประวัติของพระนางสุพรรณกัลยา ที่จะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องข้าพเจ้าได้สัมผัสมาจากทางฝันโดยบังเอิญ และจากเกร็ดพงศาวดารที่คนต่างชาติ คือ พม่าเขาเขียนเอาไว้ก็ไม่มากนัก น้ำหนักก็อยู่ที่เรื่อง พระนางเลี้ยงน้อง และปกครองคนไทย เอาใจใส่พวกชาติเดียวกันเท่านั้น 
  • ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ถ้าท่านไม่ทำใจให้เปิดกว้างพอ พอที่จะรับฟังเหตุผล ก็คงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น impossible หรือ unbelievable นี่หว่า แต่เรื่องนี้มันก็เป็นไปแล้ว และก็น่าเชื่อถือ เพราะหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ก็ได้มาปรากฏดังที่จะได้กล่าวต่อไป
  • เมื่อปี พ.ศ. 2490 ประเทศสหภาพพม่า ได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก เขายกพม่าให้ปกครองตัวเอง เป็นเอกราช 
  • ข้าพเจ้าได้ถูกเชิญ (ถูกนิมนต์) จากท่านมหาปีตะโกภิกษุ ท่านเป็นพระมหาเถระที่คงแก่เรียน ทางธรรมท่านเรียนจบพระไตรปิฏก ทางโลกท่านจบมหาบัณฑิต สาขา Philosophy จากอ๊อกฟอร์ด ลอนดอน 
  • ในสมัยที่เราอยู่ร่วมกันที่ประเทศอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านอยู่ที่เมืองหงสาวดีคือเมืองพะโค อยู่ทางทิศเหนือของกรุงแรงกุน (เมืองย่างกุ้ง) 
  • ท่านได้นิมนต์ให้ข้าพเจ้าไปช่วยงานด้านประติมากรรม คือเป็นช่างเขียนฝาผนัง ซ่อมแซมรูปลายฝาผนังที่ชำรุดให้ดีขึ้น อันการปรารภเรื่องติดต่อกันในต่างประเทศ ข้าพเจ้าเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างไรก็ขอให้ได้กลับเมืองไทยก่อน
  • พอมาถึงเมืองไทย ได้รับความดลใจ ในคำสั่งของตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยในทางฝัน จึงได้ออกเดินทางไป ดังที่จะกล่าวไว้ในตอนตามรอยกรรม 
  • ในระยะที่ข้าพเจ้าไปอยู่นั้นก็เกิดเรื่อง ที่พระภิกษุสงฆ์ในประเทศพม่าซึ่งประกาศไม่พอใจในนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวเรื่องสมณศักดิ์ 
  • คือเขาจะยกฐานะให้พระสงฆ์พม่ามีสมณศักดิ์เหมือนพระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ทั่วประเทศไม่พอใจในเรื่องลาภยศ จึงก่อเหตุเดินขบวนต่อต้าน 
  • รัฐจึงจำเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ อนุโลมตามความต้องการของพระสงฆ์ทุกอย่าง เรื่องก็จบ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมาก็มีพระสงฆ์อยู่สองประเทศ คือ พระสงฆ์พม่า และศรีลังกา
  • พระคุณท่านมีอำนาจในทางการเมือง เล่นการเมืองได้ สมัครเป็นผู้แทนได้ เข้าไปนั่งประชุมในสภาได้ เพราะพระคุณท่านไม่ยี่หระที่จะยอมรับเงินรับสินบน ค่าเงินเดือน เป็นค่าจ้าง เป็นพระลูกจ้าง อันเป็นค่านิยพัต ค่าตาลปัตพัดยศจากรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างจากทางรัฐ เขาไม่ยี่หระเหมือนพระสงฆ์ไทย 
  • อันเรื่องที่พระหม่องเดินขบวนก็จบลงไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าสิ โดนข้อกล่าวหาอย่างหนักว่า ความวุ่นวายของพระสงฆ์เมียนม่า ที่ผ่านมานั้นมีข้าพเจ้าอยู่เบื้องหลัง 
  • เพราะข้าพเจ้าไปเดินกับเขาด้วยและเป็นนายทุนสนับสนุนในเรื่องค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราใช้ทรัพย์ส่วนตัวไปราวห้าหมื่น 
  • แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้น มหาอำนาจตะวันตกผู้ปกครองเขายังไม่ว่า อันเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า อังกฤษเขาไม่เอามายุ่งด้วย และผู้หลักผู้ใหญ่ของอังกฤษก็รู้จักกับเราดี 
  • เขาจึงเพียงกักสถานที่ให้เราอยู่ในบริเวณของกระท่อมของเรานั้นเอง ซึ่งก็มีเพื่อนรักคือ อ้ายเจ้าเก่ง ภาษาพม่าเขาเรียกสุนัขว่า คย คย 
  • ข้าพเจ้าก็ได้ถูกเรียกเป็น พ๊งจีคย คำว่าพระภิกษุภาษาพม่าเขาเรียกว่า พ๊งจี จึงเป็นพ๊งจีคยมาตลอด เพราะมีสุนัขเป็นเพื่อน 
  • เขากักขังบริเวณไว้สอบสวน 15 วัน และอาศัยพระสงฆ์ คือพ๊งจีของพม่าช่วยไว้ ชีวิตหนอชีวิต อันการตกเป็นผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวลอะไร เป็นไรเป็นกัน
  • ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2482 ถูกทหารลาวจับอยู่เวียงจันทร์เมืองหลวงของลาว เขาจับในข้อหาว่าข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ไทย เข้าไปสืบความลับทางราชการ เป็นแนวที่ห้ามาจากเมืองไทย 
  • มันถามเป็นภาษาไทยว่า ท่านเป็นคนไทยหรือ ตอบมันว่าใช่ อาตมาเป็นพระสงฆ์ไทย เกิดเมืองไทย เป็นคนไทย 
  • เพราะระยะนั้นสมัยนั้นสงครามมหาเอเซียบูรพากำลังก่อตัวขึ้น อ้ายลาวไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มันจับขังใส่คุกขี้ไก่ไว้สิบห้าวัน (มันแท้ๆ) 
  • คุกขี้ไก่คือไก่อยู่ข้างบน คนอยู่ข้างล่าง แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้นรัฐบาลไทยได้ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด ไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาจึงปล่อยออกมา 
  • เมื่อข้ามมาฝั่งไทย ตำรวจไทยเห็นเข้า ถามเป็นภาษาลาวว่า (เจ้าหัวมาแต่ไส) ตอบมันว่า อาตมามาแต่ฝั่งซ้าย สำเนียงลาวแท้ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นพระลาว มาสืบความลับจับเข้าอีก ขังไว้โรงพักสองวัน แก้ตัวออกมาได้เพราะเรามีหลักฐานทางหนังสือสุทธิ
  • และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 สงครามเอเซียบูรพาสงบ ทหารไทยได้ตีเมืองพระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ กำปงโสม ของเขมร 
  • คณะสงฆ์ไทยจะเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเขมร สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส (อ้วน) ท่านเป็นมหาสังฆนายกองค์แรกในสมัยนั้น 
  • ท่านให้ข้าพเจ้าไปด้วย เพราะเป็นคนที่พูดภาษาเขมรและภาษาฝรั่งเศสได้ เพราะเขมรเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาก่อน 
  • เมื่อขบวนท่านเสด็จกลับ ข้าพเจ้ายังไม่กลับ เพราะมีธุระหลายอย่าง คือ ต้องการเรียนภาษาเขมรให้แตกฉาน จึงเดินทางเข้าไปเมืองพนมเปญ 
  • โดนทหารเขมรจับเข้าอีก ตั้งข้อหาว่าข้าพเจ้าเป็นตัวการที่นำทหารไทยไปตีเอาบ้านเอาเมืองของมัน แก้ตัวออกมาได้เพราะ อาศัยบารมีของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
  • และหลังจากนั้นมาอีกหกปี คือปี พ.ศ. 2490 โดนอ้ายหม่องพม่าจับเข้าอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวล ไม่สะทกสะท้าน ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย 
  • เพราะเรื่องอย่างนี้เคยโดนมาครั้งแล้วครั้งเล่า อันการติดคุกขี้ไก่ในประเทศลาวนั้น เท่าที่สืบดูในจำนวนพระสงฆ์ไทยก็มีอยู่สองท่าน 
  • คือตัวข้าพเจ้าเองติดก่อน ติดอยู่ถึง 15 วัน ท่านที่สองคือ พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม แต่ท่านสมชายติดทีหลัง ติดกี่วันไม่ได้ถามท่าน ติดเรื่องเดียวกัน ที่เขาถือว่าเป็นแนวที่ห้า แต่คนละวาระคนละแห่ง
  • ทุกครั้งที่ถูกจับกุมคุมขังนั้น เราไปช่วยเขา เราไปทำประโยชน์ให้เขา เราขนเอาเงินทองของส่วนตัวทั้งนั้นไปช่วยเขาไปให้เขา พอเรามีเรื่องขึ้นมาจะหาใครๆช่วยเหลือไม่มีเลย นี้แหละหนา สัจจะธรรมกรรมแท้ๆ จึงได้คิดเป็นโคลงกลอนสอนใจตัวเองว่า…
    • เมื่อมั่งมี ผีผอม ตอมกันแดก 
    • เมื่อโลงแตก ผีอ้วนชวนกันหนี
    • เมื่อมั่งมีมากมาย มิตรหมายมอง 
    • เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา
    • เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา 
    • เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง
  • จะมีก็แต่เจ้าเก่งที่แสนรู้คู่บุญ ที่ติดตามมาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมห่าง มันนอนขวางทางทำท่าตาเขม็งเบ่งใส่คนที่มันไม่ใว้ใจทุกคน จนพวกพม่ามันเรียกข้าพเจ้าว่า พ๊งจีคย (พระหมา) จึงได้ความคิดติดใจมาตลอดว่าเลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคน
  • อันสถานที่ที่เขาให้อยู่และกักบริเวณ เขาก็ให้อยู่ในสถานที่เดิมคือกระท่อมที่เขาจัดสร้างให้เอง แต่ก็อากาศดีมีสถานที่อยู่กว้างขวาง ไม่ได้ถูกผูกมัดพันธนาการอะไร มันให้อยู่ในบริเวณขอบเขตที่มันกำหนดให้ เราก็สบาย 
  • ทุกๆวันมันก็ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบ สอบแล้วสอบอีก เราทำเป็นไม่ยอมพูดกับมัน เพราะมันจะบีบคั้นเอาแต่เงิน เงินลูกเดียว 
  • ถ้าเราไม่ให้มัน มันจะปล่อยให้อดข้าวตาย ก็จะเอาอะไรมาให้ มันยึดเอาไปหมดแล้ว และยังจะมาบีบเอาอะไรอีก บ้าจริงๆ เสร็จแล้วมันก็หายไป วันหลังก็เปลี่ยนคนใหม่มาเฝ้า มาสังเกตุการณ์
  • ตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาถามตัวเองว่า เอาอย่างไรกันดี เราจะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (คนหนอคน) ยามอับจนคนเคียดแค้นชิงชัง ยามมั่งคั่ง คนประดังนอบน้อม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสบทั้งซวยโชคโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา 
  • จึงได้ปรัชญาของชีวิตว่า (อันชีวิตที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่) ความโง่คือ ความที่จิตติดอยู่กับสุข ที่ติดยึดอยู่กับสุข ที่เป็นโลกียะ ผู้ฉลาดย่อมนำเอาความทุกข์ ที่ประสบมาเป็นบทเรียน
  • ในบทปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลของสมุทัยคือความสมมุติของคน ความสมมุติสังคมของโลก จึงมาพบกับหลักสัจจะธรรมข้อหนึ่งว่า ในขณะที่ชีวิตประสบกับภาวะที่วิกฤตอย่างรุนแรงนั้น ชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้นอีกหลายเท่าตัว 
  • ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้สอนตัวเองว่า เราจงสร้างจิตตานุภาพไว้ให้มากๆ เพราะจิตตานุภาพที่เราสร้างไว้นั้นจะช่วยเหลือเราได้ในยามยาก 
  • ชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้เป็นชีวิตที่อ่อนแอ บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรูจะเป็นคนเข้มแข็งได้ยาก เหล็กที่ผ่านการตี การทุบ ทุบจนแท่งเหล็กเป็นมีดเป็นพร้าขึ้นมา แล้วผ่านน้ำผ่านไฟมาแล้วจึงกลายเป็นเหล็กแข็งและเหนียวใช้การได้ดี
  • ชีวิต เราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตใดที่ผ่านความสมบุกสมบัน ผ่านความทุกข์ความลำเค็ญ ผ่านเย็นร้อนอ่อนแข็งมาแล้ว เป็นชีวิตที่มีบทเรียนมามาก มีความรู้มาก 
  • อันความรู้มันมีอยู่สองอย่างคือ ความรู้จำ กับความรู้จริง อันความรู้จำนั้น เกิดขึ้นจากการเรียน เรียนจากครู จากตำรา รู้มาเรียนมาไม่ถึงใจ
  • เพราะไม่รู้ว่ารสชาติธาตุแท้ของชีวิตนั้นมันเป็นอย่างไร แต่ความรู้จริงนั้นคือรู้จากประสบการณ์ ที่เกิดจากชีวิตจริงของเราเอง 
  • มันมีรสชาติธาตุแท้แห่งความทรงจำไปอีกนานเท่านานเชียวล่ะและเป็นรากฐานในการ ที่จะได้ปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเองให้เข้มแข็งขึ้นอีก
  • อันการที่ข้าพเจ้าถูกอ้ายหม่องเล่นงานคราวนั้น มันเป็นผลดีที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงและเข้าใจในชีวิตของตัวเองอย่างถ่องแท้ 
  • วิธีแก้ของเราก็คือสอนและเตือนตัวเองว่า ผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้จึงตั้งอธิษฐานจิต ทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย จิตวิญญาณหลังตาย สบายกว่ามีชีวิตอยู่ จะอยู่ไปทำไม ตายดีกว่าจะได้สบาย 
  • จึงค้นคิดว่าความตายคืออะไร แล้วตอบเองว่าความตายคือ การหมดความรู้สึกนึกคิด ชีวิตอินทรีย์ขาดจากกัน หัวใจหยุดเต้น มันสมองหยุดสั่งงาน จิตวิญญาณออกจากร่าง อยู่ที่ความว่างเปล่า สักครู่จิตวิญญาณก็ลอยละล่องไปสู่ภพใหม่ นั่นแหละคือความตายที่รู้กันทั่วไป
  • จึง สนใจขึ้นมาว่า อันภาวะเช่นนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ จึงอยากตั้งหน้าฝึกจิตฝึกใจให้รู้จักวิธีตายก่อนตาย 
  • อันภาวะของความตายนั้น ตามหลักของกายวิภาควิทยาว่า หัวใจหยุดเต้น ลมหายใจไม่มีคือตาย แต่เราจะยังไม่ตายอย่างนั้น เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันจะเต้นหรือไม่เต้น ก็เป็นเรื่องของมัน 
  • เรามาจับจดอยู่ที่ลมหายใจดีกว่า เที่ยวทัวร์ทางลม เอาลมเป็นไกด์ ลมหายใจเข้าหายใจออกนี้เองเป็นเครื่องจูงจิต เอาความวิกฤตของชีวิตที่กำลังประสบอยู่มาเป็นผู้สอน สอนว่า ตาย ตาย ตาย ลมหายใจเข้าก็ว่าตาย ลมออกก็ว่าตาย เป็นอุบายสะกดจิตตัวเอง ให้เข้าสู่สภาวะแห่งความหลับ (หลับทางจิต) 
  • จับเอาตัวนิมิตคือตัวฝันนั่นเองมาสร้างเป็นตัวแฝงพลังแฝงขึ้น ตามคำแนะนำของ พระผู้เฒ่าหลวงปู่โลกอุดร สอนให้สมัยที่ถูกฝังตัวอยู่ในหิมะเพราะมันถล่มมา ทับที่ภูเขาหิมาลัยโน้น
  • ท่านสอนเตือนว่า ตัวเรามันมีอยู่ 3 ตัวคือ ตัวจริง ตัวเป็น และ ตัวแฝง ทั้งสองตัวแรกนั้นอย่ายึดมั่นในมัน รีบสละละทิ้งให้หมด 
  • กำหนดเอาตัวแฝงคือตัวพลังภายในจิตใจเท่านั้น เพราะตัวจริงยิ่งใช้ยิ่งโทรม ส่วนตัวเป็นยิ่งใช้ยิ่งยุ่งยิ่งทุกข์ 
  • แต่ตัวแฝงพลังแฝงนั้นยิ่งใช้ยิ่งดี มีพลังจะกำบังความทุกข์ให้เกิดความปิติสุขที่ใจ เราจำคำสอนของท่านคำนี้ไว้แล้วเอาสติเป็นนายเวร คอยจ้องดูลมเข้าลมออก อย่างไม่ลดละ 
  • ทีแรกจะรู้สึกว่าอันเจ้าลมที่เข้าๆ ออกๆนั้นมันหยาบ แล้วมันจะค่อยละเอียดลงๆ แผ่วเบาลง ละเอียดลงๆ จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดวงจิตมันจะผ่องแผ้วสงบเย็น ในดวงจิตมันจะเข้าสู่มิติหนึ่ง อีกโลกหนี่งเป็นสภาวะที่มีความสงบที่สุด ที่เรียกว่าปิติ
  • ความสุขทางใจละเอียดที่สุด อันสภาวะอย่างนี้ไม่สามารถที่จะสรรหาภาษามนุษย์มาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เลย มันเป็นภาษาของจิตวิญญาณ ภาษาของโลกทิพย์ แบบรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น 
  • อันการที่ถูกเจ้าหม่องเล่นงานอย่างสาหัสสากรรจ์แบบข้าวไม่ให้ฉัน น้ำไม่ให้ดื่ม ในครั้งกระนั้นเอง 
  • ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก็จะสมัครเข้าสำมะโนครัวร่วมเป็นสมาชิกของยมบาล โดยไม่คาดฝัน นึกภาวนาเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ตาย ตาย 
  • อันกลอุบายนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้ไต่เต้าเข้าถึงกระแสวิญญาณของพวกโอปาติกะตลอดลอดได้ ลอดเข้าถึงด่านของทวยเทพเทวาคือ พระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ตลอดได้สัมผัสกับสรรพวิญญาณต่างๆ ดังที่จะพรรณาต่อไป
  • การทำความเพียรทางใจคราวนี้ เราเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ก็จะฉันจะดื่มได้อย่างไรเพราะไม่มีจะดื่มจะฉัน 
  • อันหนทางที่เราจะเข้าสู่โลกวิญญาณนั้น เรากรุยไว้แล้ว รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน ที่รู้ทางใจดังในระยะที่กล่าวไว้นั่นเอง ก็คือไปกับลม 
  • เที่ยวโลกวิญญาณด้วยลม หายใจให้สติคือผู้รู้ รู้ตัว จ้องลมที่เข้าๆ ออกๆ เมื่อมันละเอียดเข้าจริงๆ มันก็หลุดเข้าไปสู่สภาวะอันโล่งแจ้ง เห็นเป็นแสงสว่างเหมือนแก้วลูกโต โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วโตขึ้นๆอีก เห็นเป็นแสงสว่างจ้าเหมือนแก้วลูกโตๆ โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วก็โตขึ้นๆอีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วเจ้าลูกแก้วนั้นก็ลอยเข้ามา ลอยเข้ามา มาอยู่ใกล้ๆเฉพาะหน้าแล้วก็มาห่อหุ้มเอาตัวเราไว้
  • อันลูกแก้วนั้นเรามีเอาไว้แล้วถือติดตัวไปเพื่อเพ่งกสิณ เพื่อจูงใจไปไหนเอาไปด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้มันอยู่ ลูกแก้วลูกนี้เราได้มาแต่ประเทศยูโกสลาเวีย ขอซื้อจากหมอดูทางลูกแก้ว 
  • และเราก็ได้เห็นอะไรๆหลายๆเรื่องกับลูกแก้วลูกนี้เอง ในขณะที่เข้าไปอยู่ในลูกแก้วเป็นเกราะหุ้มไว้ ตัวเราอยู่ข้างในแล้วมองออกไปข้างนอก 
  • จะเห็นฉากต่างๆอะไรสลับซับซ้อนและเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม บางฉากก็เห็นปราสาทราชมณเฑียรมีวัดเวียงวัง เจดีย์วิหารดูตระการตาน่าชม 
  • และบางฉากก็เห็นฝูงชนจำนวนมากเดินไปมาขวักไขว่ ในจำนวนผู้คนเหล่านั้นทุกคนรู้สึกว่า เขาจะมีแต่ความสุขสันต์กัน เพราะแต่ละคนมีแต่ความยิ้มความแย้ม หรรษาร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มย่อง ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสีสวยสดงดงามมาก
ธรรมนิยาย: ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (1)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น