ตำนานพระสุพรรณกัลยา 9
"พบอาคันตุกะพระมหามิตรเดิม"
- เมื่อเราได้ที่อยู่อาศัยแบบต่างแดนแล้วและท่านได้จัดสร้างอาศรมอันกระทัดรัดชั่วคราวโดยเอาต้นหมาก ต้นตาลเป็นเสา เอาใบตองมุงหลังคา กั้นฝาด้วยเสื่อลำแพนให้คนละหลัง ยาว 5 ศอกกว้าง 4 ศอก พออยู่กันอย่างสบายๆแบบสมณะ
- นับว่าเป็นอาศรมหลังน้อยๆแต่มันให้ความสุขทางใจอย่างเหลือหลาย ยิ่งกว่าเวียงวัง อันกว้างใหญ่ไพศาลแสนสง่างามของพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก
- เราอยู่รวมกับสหธรรมิก ต่างชาติกันแต่ก็รักกันฉันพี่น้อง เพราะมีพรรษาที่บวชมาพร้อมกันคือได้แค่ 10 พรรษาเท่านั้น
- ท่านมหาคุรุปิตะโก เจ้าของบ้านท่านกรุณาได้นำเที่ยวแสวงบุญไปนมัสการสถานที่สำคัญๆ ทั่วทุกแห่งในประเทศพม่า แต่ท่านอะมะราตะนันท พระเนปาล สังขารท่านไม่แข็งแรง จึงอยู่เฝ้าอาศรมเป็นเพื่อนเจ้าเก่งหมาคู่บารมีของเรา
- การเดินทางโดยรถไฟ รถยนต์ เรือ ใช้เวลา 15 วันก็กลับ นับว่าได้ไปอภิวาทกราบไหว้สิ่งศักดิ์แทบทุกแห่งในพม่าในยุคก่อนนั้น พม่าเขามีสองเมืองหลวงคือ เมืองย่างกุ้ง (แรงกูน) เป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ เมืองมันฑะเล คือ เมืองอังวะ เป็นเมืองหลวงของพม่าเหนือ และรัฐเชียงตุงเป็นเอกของรัฐฉาน
- การเดินทางคราวนั้นข้าพเจ้าถวายค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง พอกาลเวลาจะเข้าพรรษาคือเพ็ญตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2491 เป็นวันเข้าพรรษา
- ตุ๊เจ้าทั้งสององค์คือ ท่านอะมะรานันทะ ท่านเป็นรองเจ้าคณะใหญ่ในเนปาล ท่านได้ถูกรัฐบาลประเทศท่าน นิมนต์ให้กลับ ส่วนท่านมหาเถระ ที่ศรีลังกาเขาก็นิมนต์ให้กลับ เพราะท่านทั้งสองเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิระดับชาติ
- ท่านกลับก่อน 5 วัน เหลือแต่เราคนเดียวเปลี่ยวเอกามีหมาแสนรู้เป็นคู่ใจ ส่วนท่านผู้นิมนต์เราไปคือท่านคุรุปิตะโก ก็ถูกเรียกตัว นิมนต์ไปเป็นอาจารย์สอนวิชาอยู่ที่อ๊อกฟอร์ด เมืองแคนดี้
- เราอยู่คนเดียวก็เที่ยวบริจาค ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ยากไร้ สงเคราะห์คนจน ทั้งใกล้และไกล เขาเข้าใจว่าเป็นเทพเจ้าผู้ใจบุญ ทั้งนี้เพราะระยะนั้นเป็นระยะที่เราผู้หนึ่ง ที่มีเหลือใช้เหลือกิน
- เงินใกล้จะหมดอีกแล้วก็ให้ส่งจากเมืองไทย สามครั้งเป็นเงิน 1 ล้านบาท
- ไป ช่วยเหลือวัดวาอารามทั่วไปแต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิมเพราะ ความเก่าแก่คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปีและแถมยังถูกทำลายด้วยภัย สงครามอีกอย่างเหลือคณานับเพราะเป็นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่กี่ปีจึงมีคนหลายชาติตกค้างอยู่จำนวนมาก ของดีๆงามๆจึงเหลือแต่ซาก ที่ยังเหลือจริงๆก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา ผู้คนก็อดอยากยากแค้น เศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนว่างงาน แต่พวกโจรพวกอันธพาลไม่ค่อยมีเพราะเขานับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เราจึงได้คนงานช่วยปลูกต้นไม้ผลคือต้นมะพร้าวได้มาก ค่าจ้างแรงงานก็ไม่เกินวันละ 5 บาท (คิดเป็นเงินไทย)
- ดังนั้นการเข้าไปอยู่ของเราจึงสะดวกมีแต่คนรักนับถือเพราะเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเขาให้พ้นภัยคือความอดอยากหิวโหย แต่เราก็มั่นใจว่าอันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้นไม่ผิดกับสถานที่เราตั้งความหวังเอาไว้
- เพราะมันรู้สึกสังหรณ์ใจว่า เคยเป็นสถานที่ที่เราและพวกพ้องเคยมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิมเพราะความเก่าแก่คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปีและแถมยังถูกทำลายด้วยภัยสงครามอีก อย่างเหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามที่สอง
- เมื่อ เพื่อนสหธรรมิกทั้งสองท่านได้กลับภูมิลำเนาของท่าน ยังเหลือแต่ท่านมหาคุรุปิฏะโก ซึ่งท่านต้องอยู่ทำงานทางคณะสงฆ์อยู่ที่กรุงแรงกุน เหลือแต่เราคนเดียวเปลี่ยวเอกาเหลืออยู่แต่หมาคู่ใจเท่านั้น
- แต่ก็ยังได้รับการดูแล เยี่ยมเยียนจากนักบวช นักบุญชาวพม่าตลอดมา และในระยะนั้นถึงพม่าจะได้รับอิสระแต่ก็ต้องพึ่งพามหาประเทศผู้เป็นนายอยู่ อย่างเคยเพราะพึ่งเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองไปหมาดๆ ทุกๆ ชาติแม้แต่ไทยเราก็ยังย่ำแย่ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ทุกข์ระทมกันไปทั้งเอเซีย
- ดังนั้น ผู้ที่จะสร้างมิตรได้ดีที่สุดก็คือผู้มีเงินที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงอยู่ในขั้นที่หามิตรสหายพวกพ้องได้มาก ผู้ตกยากจึงยื่นมือรับเพราะเรามีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางพระพุทธศาสนาในเมืองนี้ชื่อ Dhammayancy Phocho ของเขายังมีสภาพเหมือนเดิมและยังสวยงามอร่ามตา น่าสักการะอยู่ทุกวันนี้
- และมีอีกอย่างที่คนต่างชาติเขายกย่องว่าเรามีเสน่ห์กับสัตว์ปีกคืออีกา พอตื่นเช้าขึ้นมามันจะพากันโผผินบินมาขอกิน บางทีมันจับหัวจับบ่าส่งเสียงร้องเกรียวกราวไปหมด ไม่ว่าไปที่ไหน ณ เมืองใด ข้าพเจ้ามีนิสัยเข้าได้กับอีกา ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนออกเดินทางก็ต้องทำบุญเลี้ยงอีกาทุกวัน แล้วมันจะบินออกหน้าไปส่ง แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ที่บริเวณวัดจำนวนมาก หากผู้ใดไปนั่งอยู่นานๆมันจะมาขับไล่ ถ้าไม่ไปก็โดนแย่ง ขโมยเอาของให้ได้ ยิ่งคราวไปอยู่เมืองพะโค ยิ่งมากใหญ่ ค่าอาหารกาสมัยนั้นวันละไม่ต่ำร้อยบาท
- ดังนั้นคนพม่าและคนต่างชาติคือภาษาพม่าเขาเรียกเราว่า ตั่งข่าแก ตั่งข่าแปลว่าพระ ต่างชาติมันจึงตั้งชื่อว่า ตุ๊เจ้ากา ถือเป็นพระที่น่าอัศจรรย์ ที่เรียกอีกามากินอาหารในมือได้ หายาก นอกจากอีกาแล้ว ยังมีนกป่าที่รู้ภาษาของเขา เรียกมันบินมาเป็นร้อยๆ แต่ละวัน เช้าเย็นต้องเลี้ยงข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว และผักต่างๆ ก็ต้องซื้อมาเตรียมไว้ คติภาษาจีนบอกว่า อีกาเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่องและไม่มีใครจะสามารถเรียกอีกามากินข้าวในมือได้ เมื่อเขาเห็นเราเรียกได้ทำได้จริงซึ่งฝืนคำพังเพย เขาจึงเลื่อมใสว่า หาไม่มีอีกแล้ว
- ในคืนวันหนึ่ง เท่าที่จดบันทึกเอาไว้คือเวลาเที่ยงคืน วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2491 ทางจันทรคติ คือเป็นวันเพ็ญ เห็นดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า
- ได้มองเห็นพระภิกษุผู้เฒ่าเดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ที่เราทำไว้ แสงไฟเทียนหลายเล่มที่เราจุดไว้สว่างไสวรอบบริเวณ
- ทั้งนี้เพราะจิตนิจสัยของเราชอบแสงไฟ ชอบมองไฟ เพ่งไฟ เอาไฟเป็นอารมณ์ ซึ่งภาษาสมณะเขาเรียก พวกเพ่งเตโชกสิณ และเพ่งมองแสงไฟ แสงเดือน ในน้ำ (เงาไฟเงาเดือน) ในน้ำเป็นอารมณ์ มันจะถึงให้จิตสงบได้ง่ายในอารมณ์เดียว
- เมื่อ พระผู้เฒ่าที่น่าเคารพท่านนั่งลงแล้ว ข้าพเจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการ เรียนถามท่านเป็นภาษาสมณะว่า... ขะมะนิยังภันเต...
- ท่านตอบทันที... คะมะนิยังอาวุโส (คำนี้เป็นภาษาพระ ท่านถามกันเป็นภาษามคธ)... ตามธรรมเนียม
- ท่านถามถึงสารทุกข์สุกดิบ ตลอดทั้งการจำจากพลัดบ้านพลัดเมืองมา ผ่านภูเขาเลากา ป่าพงดงดอนอันกันดาร อันการเมืองนี้บ้านนี้สถานที่นี้
- คุณประสงค์จะมาใช้กรรม ใช้เวร และช่วยเหลือผู้อื่นสัตว์อื่นนั้น คุณทำได้ทุกอย่างในทาง ที่เห็นเป็นรูปธรรมคือคุณเสียสละทุนทรัพย์ภายนอกไปมาก แล้ว
- ผลตอบแทนก็คือได้มิตรภาพทั้งที่เป็นคนและสัตว์จำนวนมาก ยากที่มนุษย์อื่นๆ เขาจะทำได้ เลี้ยงได้ เป็นเพื่อนกับมันได้ คืออีกา
- เรามาเห็นเข้า รู้สึกประทับใจในพลังจิตเมตตาธรรมของคุณ แต่ขอเตือนว่า ตราบใดที่จิตใจเรายังมองไม่เห็นตัวตนของตนเองทั้งสามตัวแล้ว จิตก็จะยังมืดบอดอยู่
- อันคนเราแต่ละคน มีตนมีตัวอยู่สามชั้น สามตัว คือ...
- หนึ่งตัวจริง ที่ได้มาจากบิดามารดาผู้สร้างมา
- สองตัวเป็น
- สามตัวแฝง อันเป็นตัวลึกลับที่อิงแอบแนบซ้อนอยู่กับวิญญาณของทุกๆคนนั้น อันตัวนี้สำคัญมาก หากคุณค้นพบและเอาออกมาใช้ได้แล้ว เท่ากับได้ที่พึ่งอันประเสริฐที่สุดที่
- มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาก็ค้นหาได้ เพราะมัน อยู่ในจิตวิญญาณของเรานี้เอง แต่คนเราลืม จะใช้ก็แต่ตัวจริง คือตัวตนที่มีรูป กาย แขน ขา ตีน มือ หู ตา จมูก ลิ้น รวมกันเป็นร่างกายนี้ เราใช้งานมันทุกวัน และมันก็รีบใช้ตามแต่ความนึก ความคิด จิตใจจะสั่งให้ทำ
- ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น อันตัวนี้เราได้มาจากการที่เขาสมมุติให้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพระ เป็นชี เป็นสตรีบุรุษ เป็นอะไรต่อมิอะไรสารพัด ตามแต่สังคมเขาจะให้เป็น อันตัวเป็นที่กล่าวมานี้ เราได้มาจากสังคม ได้มาจากคนอื่น ผู้อื่น เขาสมมุติให้
- ส่วนตัวที่สามคือ ตัวแฝง ร่างแฝงนี้เองที่จะมาเตือนคุณให้รีบค้นคว้าหาให้พบให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอิงแอบแนบชิด ติดอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเอง อันตัวแฝงนี้ เราจะรู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น
- ถ้าท่านหาไม่พบตัวแฝงนี้แล้วท่านจะลำบาก เพราะกรรมเก่าจะมาตามสนองท่านในไม่ช้านี้ แต่ขอบอกว่าท่านยังค้นคว้าไม่เจอแน่ จะเจอได้ก็เมื่อชีวิตเผชิญกับความวิกฤตอย่างรุนแรงเท่านั้น
- นี่เรามาเตือน เตือนคนใจบุญ เตือนคนที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้สังคม ผมลาล่ะ ขัดข้องอะไรส่งใจถึงเรา เราชื่อโลกุตโล-เถโรคุณ เอาชื่อนี้ขึ้นก่อน แล้วก็ใช้คำพระอุปัชฌาย์เรียกนาค ก็จะพบกันได้ทุกเมื่อ ลาล่ะ สวัสดี
- เสร็จแล้วพระเถระผู้เฒ่าก็หายไปในความมืด ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงประทีปนั้นเอง เราจึงมาคิด เคยพบท่านที่เมืองซาปังโก ระหว่างเมืองยางเซะต่อกับเมืองลาละที่ประเทศทิเบต
- ท่านได้เทศน์ให้ฟังขณะที่เราถูกขังตัวด้วยน้ำแข็งที่ภูเขาหิมาลัย เมื่อ พ.ศ. 2484 ครั้งที่สองท่านมาบอกที่พักอาศัย คือถ้ำชัยมงคลกับท่านอาจารย์วัง บนเขาลังกาประเทศไทย เมื่อปี 2485
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น