"กลับบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรก"
ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (3)
- กล่าว ย้อนไปถึงการเดินทางกลับ อำลาท่านผู้บังเกิดเกล้าที่เมืองอยุธยาจำเดิม แต่ได้พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นเวลาร่วมสิบปี
- มีครั้งเดียวเท่านี้ที่ฉันได้กลับไปเห็นหน้าบิดามารดา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ เมื่อได้ทำพิธีอำลาท่านผู้บังเกิดเกล้าแล้ว
- เจ้าบุเรงนองก็พากลับ และให้กลับทุกคน แม้แต่พระอนุชาของฉัน เพราะเจ้าบุเรงนอง มันใช้อำนาจบาทใหญ่
- พระราชบิดาของฉันจะร้องขออะไรมันก็ไม่ยอม แม้แต่ท่านจะขอกำลังทหารไทยไว้ป้องกันประเทศ มันก็ด่าว่าเอา
- มันบอกว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นใครที่ไหนจะใหญ่จะมีกำลังเหนือมัน มันเคี่ยวเข็ญ เย็นค่ำ ร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
- พระราชบิดาของฉันก็กลัวมันยิ่งกว่าเสือ เหลือร้ายจริงอ้ายบุเรงนอง เมื่อกลับถึงถิ่นเมืองหงสาวดีแล้ว
- พิธีการการอภิเษกสมรสระหว่างฉันกับเจ้าบุเรงนองก็เกิดขึ้น ฉันก็ตกเป็นของเจ้าบุเรงนองตามประเพณีของเขา
- แต่น้องชายของฉันสิเหงา เพราะดูกิริยาท่าทางของเขาเศร้าสร้อยหงอยเหงาจริงๆ เพราะเขาเคยอยู่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้
- ฉันฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาด้วยมือ เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ ฉันสงสารน้องชายที่ว้าเหว่ ฉันจึงวางเล่ห์กลอุบายกับเจ้าบุเรงนองว่า
- ท่านเจ้าขา อันพระอนุชาทั้งสองของฉันนั้น เขาได้เติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นแน่นรักษาตัวได้และเอาตัวรอดได้แล้ว
- ฉันจึงอยากจะขอร้อง ให้น้องชายทั้งสองคนกลับไปช่วยราชการของพระราชบิดาที่เมืองไทย เพราะได้รับข่าวว่า พญาละแวก คือพวกขอมได้ยาตราทัพอันเกรียงไกรมาประชิดติดแดนไทยแล้ว และก็ตีได้แล้วหลายเมืองทางทิศตะวันออกของไทย
- ถ้าเราช้าไปจะต้องเสียใจ เพราะเมืองไทยได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพญาละแวก เราจะสูญเสียประเทศราชของเราไปอีก
- ฉันเชื่อแน่ว่าพระน้องยาเธอของฉันทั้งสอง เขาจะเอาชนะพญาละแวกได้ เพราะไพร่พลคนไทย ก็จะมีกำลังใจในอันที่จะต่อสู้กับพญาละแวกได้
- เมื่อเจ้าบุเรงนองได้ฟัง มันก็เชื่ออย่างสนิทใจ มันจึงปล่อยให้เจ้าองค์ดำกับเจ้าองค์ขาวกลับเมืองไทย พร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง
- ท่านขาตอนที่น้องทั้งสองของฉัน ที่ฉันได้ทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเขามาแต่แบเบาะ มีเคราะห์กรรมอะไรหนอ ที่จะมาพรากให้ฉันต้องอยู่เดียวดาย
- ในขณะที่น้องชายของฉันจากไปนั้น ฉันมีความรู้สึกสังหรณ์ใจว่า จากนี้ไปภายหน้าตลอดชีวิต ฉันจะไม่ได้เห็นน้องชายทั้งสองของฉันอีกแล้ว
- จึงได้ยินแต่สั่งคำเดียวว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ น้องทั้งสองจะจดจำคำว่า แม่ แม่ แม่ ไว้ในห้วงแห่งดวงใจตลอดไป
- ท่านขา ในคราวนั้นเองฉันรู้สึกว่าดวงตาดวงใจของฉัน มันหลุดลอยออกจากร่าง มันทำให้จิตใจเวิ้งว้าง ว้าเหว่ ไม่มีฟ้า ไม่มีดิน
- ได้ยินแต่เสียงน้องสั่งว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ ถึงเขาจะออกเดินไปแลัวจนสุดสายตาแต่เสียงสั่งลาของน้องก็ยังก้อง อยู่ในโสตประสาทของฉันไม่มีวันลืมเลือน
- ฉันจึงยืนขึ้นเอามือขวาค้ำสะเอว ส่งกระแสจิตให้รุนแรงว่า ไปดีเน้อน้อง ไปดีเน้อน้อง
- มัน เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งนะท่านที่พระราชบิดาของฉันสอนเอาไว้ว่า ถ้าจะอวยชัยให้พรใคร เมื่อเขาจากไป
- ถ้าเป็นผู้หญิงให้ใช้มือซ้าย ถ้าเป็นผู้ชายให้ใช้มือขวา ถ้าเป็นทั้งหญิงทั้งชาย ให้ใช้ทั้งสองมือ
- ดูแต่คราวที่พวกคณะเราจะจากท่านมา ทั้งสองครั้ง ท่านก็ใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างของท่านค้ำสะเอว เราจึงไปมาอย่างปลอดภัย
- เมื่อเขากลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าทัพ แล้วเปลี่ยนคำว่า หัวหน้าใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
- แล้วประกาศเป็นพระราชอาญาว่า หากมันผู้ใดมันอุตริเปลี่ยนคำเรียกแม่ทัพให้เป็นศัพท์อื่นนามอื่นขอให้บุคคล ผู้นั้นมันถึงซึ่งความวิบัติฉิบหายวายวอดเถิด
- นี่แหละท่านน้องที่กตัญญู เขาเอาชื่อแม่ที่เขารักและมีพระคุณกับเขาไปตั้งเป็นแม่ แม่ แม่ อยู่กับตัวเขาตลอดไป (กองทัพไทยเราจึงมีแม่ทัพตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา)
- และกาลต่อมาภายหลัง เมื่อน้องชายฉันกลับไปแล้วได้ตั้งตัวเป็นแม่ทัพ ได้รวบรวมสรรพกำลังให้เกรียงไกร
- แล้วขับไล่กองทัพของพญาละแวกให้แตกกระเจิง แล้วรวบรวมไพร่พลของพญาละแวกเข้าเป็นกำลังเสริม ร่วมกันเล่นงานกองทัพอ้ายหม่อง ให้ม่องเท่งไปไม่เป็นกระบวน
- แต่การเอาชนะกับเจ้าหม่องนั้นล่าช้ามากๆ ส่วนน้องชายฉันเขารู้ รู้ว่าเจ้าหม่องมันส่งชายฉกรรจ์ แต่งตัวปลอมตัวเป็นพระมาสืบความลับว่า จุดอ่อน จุดแข็งของกองทัพไทยอยู่ตรงไหน
- เจ้าพวกแต่งตัวเป็นพระนี้เอง คนไทยไม่รู้ว่าเป็นพระพม่าหรือพระไทย เพราะเหมือนกันหมด ดูไม่ออกว่าพระพม่าหรือพระไทย
- พอน้องชายทั้งสองของฉันกลับไป ก็ขอร้องให้ท่านพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่สอนคาถาปราบศึกให้
- สั่งให้พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศโกนคิ้วทิ้งให้หมด เพื่อให้คนไทยรู้ว่า พระพม่าหรือพระสงฆ์ไทย องค์ไหนไม่โกนคิ้วองค์นั้นเป็นพระหม่อง ขับออกไปจากเมืองไทยให้หมด
- คนไทยกำหนดรู้ รู้กันโกนคิ้วไม่โกนคิ้วนี่เอง ฉันเห็นท่านมาวันนี้ ท่านโกนคิ้วจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทย
- พอเขาแก้ไขได้ทุกอย่างแล้ว ก็จะหวนกลับมาตีเอาเมืองหงสาวดี และปริมณฑลเพื่อยึดเอาตัวฉันกลับไป
- ท่านขา พอเจ้าบุเรงนองมันสืบรู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มีฉันเป็นผู้วางแผน
- ในระยะนั้นก็มีความไม่สงบเกิดขึ้น เพราะตัวพระคุณเจ้าเอง วางแผนให้เจ้าบุเรงนองผู้ครองความเป็นใหญ่
- อันเจ้านันทบุเรงนั้น มันมักมากในกามคุณ มีเมียมากนับไม่ถ้วน แต่มีคนหนี่งชื่อ สุวนันทาเป็นภรรยาคนที่สาม ชาวไทยใหญ่ เป็นคนสวย
- เจ้านันทบุเรงก็หลงใหลมันมาก มันอยากเป็นราชินี จึงบังคับให้สวามีวางแผนแย่งอำนาจ แย่งสมบัติจากพระราชบิดามาเป็นใหญ่เสียเอง
- เจ้าบุเรงนองผู้บิดาจึงทรงตรอมพระทัย ในที่สุดก็ขาดใจตาย
- ดังกล่าวแล้วให้ทะเลาะกันกับเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นลูกชายเลยเกิดโรคหัวใจวายตายไปอย่างกระทันหัน
- มันคือเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นอุปราชขึ้นครองเมืองชื่อเจ้านันทบุเรง มันได้ครองราชย์เป็นใหญ่ และเป็นระยะที่เขาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ความวุ่นวายมีอยู่ทั่วไป
- กอปรกับมารู้ข่าวว่า กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง)
- จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเอง ให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า
- แล้วลงมือชก ต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าว อดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส (มันเลวยิ่งกว่าหมา เพราะธรรมดาแล้ว หมาตัวผู้จะไม่กัดหมาตัวเมีย อันคนจำพวกที่ชอบรังแกผู้หญิง เอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศเมียนั้น จึงเป็นบุคคลจำพวกที่มีสันดานเลวยิ่งกว่าหมาเสียอีก)
- ท่านขา เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ (และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ)
- แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน
- แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยการผูกรัดรึงตรึงฉันด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน
- อันเรื่องนี้เอง ก็เป็นวิบากกรรมที่ทำให้ข้าพเจ้า ต้องไปรับรู้รับเห็นเรื่องของเจ้าหญิงทุกอย่าง และ ท่านกล่าวว่า
- ในกาลต่อไปข้างหน้าฉันตั้งปณิธานไว้ว่า (ฉันจะไปอุบัติบังเกิด ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน แต่จะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทยและจะไม่เยื่อใยใน การมีคู่ครอง)
- ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดี ให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแก้ลำ ที่คนไทยลืมฉัน
- โดยจะไม่สนใจใยดีกับการที่จะอภิเษกสมรสเลย เพราะฉันเข็ดแล้วเข็ดอีกเรื่องผู้ชาย แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว
- เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้ว บอกฉัน
- และฉันขอฝากรูปลักษณ์ของฉัน ที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉัน ให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย
- แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว
- ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉัน ที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย
- พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน
- นับว่าฉันเองได้สถิตอยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา
- แต่ต่อมาพม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชายต้องตกเป็นเชลย ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจองด้วยเครื่องพันธนาการ ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมานทั้งกายและจิตใจตลอดมา
- จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุด
- ดุจกับว่าดวงตาดวงใจมันหลุดลอยออกไปจากร่าง สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษจนถึงแก่ความตายอย่างทรมานที่สุด
- ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆ จะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง
- ฉันเสียใจที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรีที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจของคนทั้งชาติโดยปราศจากการมีครอบครัว
- แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัย ไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริง ก็ต้องพึ่งพิงอาศัยกระแสดวงใจ ของคนจำนวนมากช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้
- ดังนั้นจึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉันออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไปที่เขาอยากรู้อยากเห็นด้วย
- นี้แหละท่าน อันชีวิตคนเราทุกๆ คนจะคละเคล้าไปด้วยสุขและทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน
- ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิต คิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผีไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาสเพราะตกอยู่ใต้อำนาจของความปรารถนา
- ชีวิต ที่ถูกความโง่เขลาปลูกสร้างขึ้นมา แล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกู ไปทุกสิ่ง
- ได้ครอบครองสิ่งใดแล้วก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้นไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วงเอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย
- และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิด คิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์
- แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมากที่บ้านเมืองของเราหลายๆ แห่งได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไร
- แล้วมันก็สั่งให้คนไทยจุดไฟเผาบ้านเรือน ตลอดพระราชฐานวัดวาอารามที่สวยๆ งามๆ ให้เหลือแต่ซากสลักหักพัง พินาศสันตะโร
- แต่ กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ผีร้ายๆ จะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก
- แต่พวกพม่านั้นมันก็ได้รับผลกรรมตอบแทนอย่างคุ้มค่า เรียกว่า กรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งชิงอำนาจกันไม่มีเวลาสิ้นสุด
- แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติหรือใส่ร้ายแต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละเป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญบ้านเมืองตัวเองให้พินาศ
- เพราะจิตใจคิดอาฆาตที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉันมาเป็นมหาอุปราช ผลสุดท้ายพระราชบิดาของฉันก็ได้ครองราชแทน
- เพราะ พระเจ้ามหินทราธิราช ได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละ ได้รวบรวมหมู่เชลยไทย ช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่าน แล้ว เอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น
- อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเองส่วนมากคือคนไทยเองที่เขาเคืองแค้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว
- มหาภัยยุคเข็ญมันก็ต้องเกิดดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละเป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น
- ส่วน พญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้นคู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอดไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญสังหารคนไทยนับครั้งไม่ถ้วน
- การที่มันกระทำนั้นเอง จึงเป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานของมัน และมันก็เข่นฆ่า ทารุณกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ
- ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกันเหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน
- นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านักและอย่าลืมตัว
- ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ให้คนไทยทั้งชาติตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือ ยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล
- ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน แต่ดีอย่างหนึ่งที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ
- แต่เสียอย่างเดียวที่คนไทยมีนิสัยไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที
- แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน
- เมื่อถึงยุคราชโจร อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อน แต่บ้าอำนาจจะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ
- แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดีหลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือ ท่านผู้ประทับอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
- แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมีมุณีทั้งหลาย
- ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตน และสั่งสมให้มากที่สุดที่จะมากได้
- แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุมในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้งหลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม
- เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน
- คือเรารู้จักวิธีฝึกให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิดประดิษฐ์สิ่งที่ร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆไปมันจะชินไปเอง
- ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างทุกขเวทนาให้แก่ใจในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เองเป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ก็เพราะได้มาเจอท่าน
- ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์อย่างวิเศษ ในดวงใจและดวงตาของฉัน ที่ได้นำพาให้ฉันกลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร
- ที่บอกท่านว่าเป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิดแล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่
- สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว
- แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลยเป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติเป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหาร หนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้
- เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่งไปตายที่กรุงโรม และก่อนตายก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวยสร้างความมั่งมีเอาไว้ที่เมืองฝรั่ง
- แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์ เป็นถึงบัณฑิตครูสอน แล้วย้อนกลับมาบวชในศาสนาพุทธที่เมืองไทย
- อะไร กันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่าย ตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ
- พอมาถึงตอนนี้ท่านหญิงก็หัวเราะเพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิดแล้วก็ขยันตาย
- แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอย
- คือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน
- ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ที่ประจักษ์อยู่ในมโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย และก็รับปากท่านเพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้
- จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดีกับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ตให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้เพราะเราเป็นช่างเขียนเรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส
- แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง
- ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใดที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดูในเวลาเขียน เขาจะไม่เอา เพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขาเข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้นจะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง
- ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัสทางจิตวิญญาณให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น